ใบโคคาทำอะไรได้บ้าง? ผลของใบโคคา

เป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วที่ชนพื้นเมืองของเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้บริโภคใบโคคา ซึ่งเป็นพืชที่มีสารอาหารและวิตามินที่สำคัญ อัลคาลอยด์จำนวนมาก รวมถึงโคเคนอัลคาลอยด์ การบริโภคใบโคคาเป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะในโคลอมเบีย โบลิเวีย และเปรู การเพาะปลูกและการบริโภคโคคาในประเทศเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจำชาติ เช่น ไวน์ในฝรั่งเศส เบียร์ในเยอรมนี และเตกีลาในเม็กซิโก พืชชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและศาสนาของชนพื้นเมืองแห่งเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้

ประเพณีการดื่มใบโคคาที่มีมายาวนานนับศตวรรษไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโคเคนเลย การบริโภคใบโคคาจะระงับความรู้สึกหิว กระหาย ความเหนื่อยล้า ทำให้เกิดพลังงานเพิ่มขึ้น ปรับปรุงการย่อยอาหารและความอดทนทางร่างกาย ใบโคคาบุชมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย ช่วยบรรเทาอาการปวด ทำหน้าที่เป็นอาหารเสริมจากธรรมชาติ และมีคุณสมบัติทางยาที่สำคัญ เช่น ต่อสู้กับอาการเจ็บป่วยจากที่สูง จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ไม่มีวิธีใดที่จะดีไปกว่าการปรับตัวให้ชินกับอากาศที่หายากบนที่ราบสูงโบลิเวียได้เท่ากับใบโคคา

วิธีเคี้ยวใบโคคา

ตามเนื้อผ้า ใบโคคาจะเคี้ยวหรือดื่มเหมือนชา (มาเต เด โคคา) คำว่า "เคี้ยว" เป็นคำที่นิยมใช้กัน แต่จริงๆ แล้วใบไม้ไม่ได้เคี้ยวแบบที่วัวเคี้ยวหญ้าหรือคนเคี้ยวเอื้อง เพียงวางไว้ใต้แก้มและค้างไว้หนึ่งชั่วโมง ขั้นแรกก้านใบจะถูกลบออกเนื่องจากมีโครงสร้างแข็งทำให้รู้สึกไม่สบายและอาจทำร้ายเยื่อเมือกได้
น้ำลายเริ่มห่อหุ้มใบลดขนาดลงอย่างมากและม้วนเป็นก้อนเล็ก ๆ ซึ่งไม่ได้เคี้ยว แต่จับไว้ด้านหลังแก้ม แต่อัลคาลอยด์ที่มีอยู่ในใบจะไม่ถูกดูดซึมในรูปแบบนี้ ในการทำเช่นนี้จำเป็นต้องเพิ่มสารอัลคาไลน์ลงในใบจากนั้นโคเคนอัลคาลอยด์จึงจะเริ่มกระตุ้นและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางเยื่อเมือกของปากและกระเพาะอาหาร อัลคาไลน์ที่พบมากที่สุดในลาปาซคือ lejía dulce ซึ่งทำจากขี้เถ้าของควินัว ผสมกับโป๊ยกั้กและน้ำตาลอ้อย เพื่อให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น ให้ใช้เบกกิ้งโซดาธรรมดา อัลคาไลทำให้รสเปรี้ยวของใบอ่อนลงและกระตุ้นการทำงานของอัลคาลอยด์

ไม่กี่นาทีหลังจากเติมสารอัลคาไลน์ จะเริ่มรู้สึกถึงอาการชาต่อเยื่อเมือก ซึ่งหมายความว่าโคเคนอัลคาลอยด์ที่สลายตัวเริ่มซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านเยื่อเมือกของแก้ม ส่วนหนึ่งของน้ำที่หลั่งออกมาจะถูกดูดซึมโดยระบบทางเดินอาหาร

การเคี้ยวใบโคคาจะได้ผลสูงสุดประมาณ 60 นาที อาการชาในปากจะหายไป ซึ่งหมายความว่าอัลคาลอยด์ที่อยู่ในใบโคคาจะถูกดูดซึมไปแล้ว หากต้องการให้เอฟเฟกต์กลับมาทำงานอีกครั้ง คุณต้องใช้ใบไม้ส่วนใหม่

ชาใบโคคา

แม้ว่าการเคี้ยวใบโคคาจะเป็นเรื่องปกติเฉพาะในหมู่ประชากรพื้นเมืองเท่านั้น แต่การดื่มชาใบโคคา (มาเต้ เด โคคา) ถือเป็นลักษณะเฉพาะของทุกภาคส่วนในสังคมในโบลิเวียและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแอนเดียน มีสีเหลืองแกมเขียว มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย คล้ายกับชาเขียว ใบโคคาขายบรรจุในถุงชาในร้านขายของชำส่วนใหญ่ในโบลิเวีย และสถานท่องเที่ยวก็มีชาใบโคคาจำหน่ายด้วย เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าการดื่มชานี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ อารมณ์ และกิจกรรมต่างๆ นักท่องเที่ยวมักแนะนำให้ดื่มชาเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจากที่สูง ลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มการออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม ผลของการดื่มชาใบโคคานั้นน้อยกว่าการเคี้ยวมาก

ใบโคคาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

โคคาบุชเป็นพืชที่รู้จักกันดีในโลกเนื่องจากมีโคเคนอัลคาลอยด์อยู่ อย่างไรก็ตาม ใบโคคาไม่ใช่โคเคน เช่นเดียวกับองุ่นไม่ใช่ไวน์ การเคี้ยวใบโคคาเปรียบเสมือน “การใช้ยา” เหมือนกับการกินเมล็ดฝิ่น ปริมาณโคคาอัลคาลอยด์ในใบโคคาบุชมีค่าต่ำมาก โดยอยู่ระหว่าง 0.25% ถึง 0.77% ดังนั้นการเคี้ยวหรือดื่มชาแบบดั้งเดิมของใบโคคาจึงไม่ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจมากเกินไปหรือสูง กล่าวคือ มันไม่ทำให้เกิดอาการมึนเมาของยาที่ผู้คนรู้สึกหลังจากเสพโคเคน

ชาหนึ่งถ้วยที่ทำจากใบโคคา 1 กรัม (ปริมาณปกติของถุงชา) มีสารโคคาอัลคาลอยด์ประมาณ 4.2 มก. เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ปริมาณโคเคนคือ 20 ถึง 30 มิลลิกรัม เนื่องจากมีสารอัลคาลอยด์เหล่านี้ ใบโคคาจึงเป็นสารกระตุ้นอ่อนๆ ซึ่งเทียบได้กับการบริโภคกาแฟหรือชา ใบโคคาไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการติดยาและไม่ก่อให้เกิดผลเสพติดที่เป็นอันตราย คุณจะรู้สึกถึงพลังงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยซึ่งคงอยู่เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ

โบลิเวียเป็นผู้ผลิตโคคารายใหญ่อันดับสามของโลก รองจากโคลอมเบียและเปรู

การเพาะปลูกและการขายใบโคคาคิดเป็น 2% ของ GDP ของโบลิเวีย

บทความที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับโบลิเวีย

สถานที่ที่น่าสนใจในโบลิเวีย

บทความทั้งหมดเกี่ยวกับโบลิเวีย

โคเคนบุช (lat. Erythroxylum coca) จากคำภาษาเคชัว "kuka" เป็นพืชพุ่มชนิดหนึ่งจากตระกูลโคคา บ้านเกิดของมันอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาใต้ แต่ปัจจุบันพืชได้รับการปลูกฝังแบบเทียมในแอฟริกาอินเดียและบนเกาะด้วย ชวา โคคามีบทบาทสำคัญในประเพณีวัฒนธรรมของชาวแอนเดียน ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา โคคาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่าเป็นวัตถุดิบในการผลิตโคเคน ซึ่งเป็นยากระตุ้น

พุ่มไม้โคคาดูเหมือนหนามดำ ความสูงของพืชคือ 2−3 ม. กิ่งก้านตั้งตรง ใบบาง สีเขียว มีรูปร่างเป็นวงรี เรียวที่ปลาย

ดอกโคคามีขนาดเล็ก เรียงกันเป็นกลุ่มเล็กๆ บนก้านสั้น กลีบดอกประกอบด้วยกลีบสีเหลือง-ขาว 5 กลีบ อับเรณูเป็นรูปหัวใจ เกสรตัวเมียประกอบด้วยกลีบดอก 3 อัน รวมกันเป็นห้องรังไข่แบบไตรภาคี ดอกไม้สุกเป็นผลเบอร์รี่สีแดง

เภสัชวิทยา

ส่วนประกอบออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของโคคาคือโคเคนอัลคาลอยด์ ซึ่งมีอยู่ในใบสดในปริมาณประมาณ 0.2% นอกจากโคเคนแล้ว ใบโคคายังมีสารอัลคาลอยด์อื่นๆ อีกหลายชนิด รวมถึงเมทิลเอ็กโกอีน ซินนาเมต, เบนซิลเลกโกอีน, ทรูซิลลีน, ไฮดรอกซีโทรปาโคเคน, โทรปาโคเคน, เอคโกอีน, คัสโคไฮกริน, ไดไฮโดรคัสโคไฮกริน, นิโคติน และไฮกริน อัลคาลอยด์ที่ไม่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทบางส่วนยังคงใช้เป็นสารเติมแต่งใน Coca-Cola โคคายังอุดมไปด้วยวิตามินและธาตุขนาดเล็ก เมื่อเคี้ยวใบโคคาจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น ระงับความหิว ความกระหาย และความเหนื่อยล้า ยาชาบางชนิด เช่น ยาสลบหรือโนโวเคนนั้นได้มาจากโคคา ใบโคคาแห้งมีค่า LD50 อยู่ที่ 3,450 มก./กก. อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้คำนวณจากปริมาณโคเคน 31.4 มก./กก.

การปลูกและการใช้ประโยชน์

พุ่มไม้โคคาปลูกตามธรรมเนียมในบริเวณเชิงเขาของเทือกเขาแอนดีสหรือที่ราบสูง ขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่ปลูก ตั้งแต่สมัยโบราณ ใบของมันถูกใช้เป็นยากระตุ้นโดยชนเผ่าพื้นเมืองในเวเนซุเอลา โคลอมเบีย เอกวาดอร์ เปรู และโบลิเวีย บนภูเขา เมื่อระดับออกซิเจนต่ำ การดื่มโคคาจะช่วยให้คุณกระฉับกระเฉงได้ โคคายังมีความสำคัญทางศาสนาและสัญลักษณ์อีกด้วย ในสหรัฐอเมริกา แม้จะมีการผลิตและการใช้โคเคนอย่างถูกกฎหมายเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ แต่การปลูกโคคาอย่างไม่จำกัดก็ถูกห้ามนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เนื่องจากมียอดขายจำนวนมากในตลาดที่ผิดกฎหมาย

ตัวอย่างใบแห้งสดที่ดีจะยืดออก มีกลิ่นหอมคล้ายชา เคี้ยวจะค่อยๆ ชาปาก และรสชาติจะคมน่ารับประทาน ใบไม้แก่จะมีกลิ่นเฉพาะตัว มีสีน้ำตาล และไม่คมพอที่จะลิ้มรส

การใช้งานแบบดั้งเดิม

ในเทือกเขาแอนดีส ชนเผ่าพื้นเมืองใช้ใบโคคามานับพันปีแล้ว ตามธรรมเนียมแล้วพวกเขาจะพกถุงที่เรียกว่า chuspa หรือ huallqui ซึ่งบรรจุใบโคคาที่เพียงพอสำหรับใช้ในแต่ละวัน พร้อมด้วยผงอิลุกตาหรือลิปตา (Quechua llipt"a) ปูนขาวหรือขี้เถ้าคีนัว เล็กน้อย เคี้ยวผงจำนวนเล็กน้อย พร้อมกับใบโคคา สิ่งนี้ทำให้กลิ่นหอมฝาดอ่อนลงและส่งเสริมการสกัดอัลคาลอยด์ ชื่อของผงนั้นแตกต่างกันในแต่ละประเทศ. . สารเหล่านี้หลายชนิดมีรสเค็ม แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ ในพื้นที่ลาปาซ ประเทศโบลิเวีย มีการใช้สารที่เรียกว่า lejía dulce (หวาน snap) ซึ่งทำจากขี้เถ้าของควินัวผสมกับโป๊ยกั้กและอ้อยทำให้เกิดเป็นมวลสีดำนุ่มมีรสหวานและ กลิ่นหอมชะเอมเทศ บางแห่งใช้เบกกิ้งโซดาที่เรียกว่าบิโค ไบโอ

การเคี้ยวใบโคคาเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดในสภาพภูเขาที่รุนแรง ใบโคคามีสารอาหารมากมาย นอกเหนือจากสารอัลคาลอยด์ที่เปลี่ยนอารมณ์ พุ่มโคคาอุดมไปด้วยโปรตีนและวิตามินเติบโตในบริเวณที่แหล่งอาหารอื่นขาดแคลน โคคายังถูกนำมาใช้เพื่อระงับความรู้สึกง่วงนอนและปวดหัวที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตต่ำในภูเขา โคคาเป็นสิ่งธรรมดาและเป็นศูนย์กลางของมุมมองของแอนเดียน ซึ่งมักวัดระยะทางเป็นหน่วยที่เรียกว่า cocada หรือ akulli ซึ่งเป็นจำนวนใบโคคาเต็มคำที่สามารถเคี้ยวได้ขณะเดินจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นอกจากนี้ Cocada ยังใช้ในการวัดเวลา ซึ่งหมายถึงเวลาที่ใช้ในการเคี้ยวใบโคคาหนึ่งคำก่อนที่จะสูญเสียรสชาติและประสิทธิภาพไป

ใช้อันศักดิ์สิทธิ์

โคคาถือเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์และถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาของชาวแอนเดียน ทั้งในยุคก่อนอินคาและอินคา ตลอดพิธีกรรมทางศาสนา ชาวอินเดียใช้ควันโคคาเป็นเครื่องบูชาต่อดวงอาทิตย์ โคคายังคงใช้เพื่อจุดประสงค์ทางศาสนา เช่นเดียวกับ huaca (Quechua wak"a "วัตถุแห่งความเคารพ") ในหมู่ผู้คนในเปรู โบลิเวีย เอกวาดอร์ โคลอมเบีย อาร์เจนตินาตอนเหนือ และชิลี ใบโคคายังใช้ในการทำนายดวงชะตาอีกด้วย

ในเมืองซานตา มาร์ตา บนชายฝั่งทะเลแคริบเบียนของโคลอมเบีย มีการบริโภคโคคาโดยใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่าโปโปโร Poporo เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์ของทางเพศของผู้หญิง อุปกรณ์มีรูปร่างเหมือนมดลูก และแท่งด้านในก็เหมือนลึงค์ การเคลื่อนไหวของไม้ในโปโปโรเป็นสัญลักษณ์ของการมีเพศสัมพันธ์ สำหรับมนุษย์ โปโปโรเป็นเครื่องรางที่มีความหมายว่า "อาหาร" "ผู้หญิง" "ความทรงจำ" และ "การทำสมาธิ" สิ่งสำคัญคือต้องเน้นว่าโปโปโรเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาย แต่ผู้หญิงต่างหากที่มอบความเป็นชายให้กับผู้ชาย ห้ามผู้หญิงใช้โคคาจนกว่าลูกชายจะพร้อมแต่งงาน

ชื่อเรื่อง

การเคี้ยวโคคาเรียกว่า mambear, chacchar (Quechua chaqchay) หรือ acullicar (Quechua akulliy) หรือในภาษาโบลิเวีย picchar นอกจากนี้ คำกริยาภาษาสเปน Masticar ยังใช้บ่อยร่วมกับคำสแลง "bolear" ซึ่งเป็นคำที่มาจากคำว่า "bola" ซึ่งแปลว่า "เคี้ยวลูกบอลโคคาหลังแก้ม" ปัจจุบันนี้การเคี้ยวใบโคคาเป็นเรื่องปกติในหมู่ประชากรแอนเดียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูเขาโบลิเวีย ซึ่งการเพาะปลูกและการบริโภคโคคาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจำชาติ โคคาทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและศาสนาของชนเผ่าอเมริกาใต้ ใบโคคามีจำหน่ายในถุงที่ตลาดท้องถิ่นและแผงลอยริมถนน

ชาโคคา

ชาโคคา (สเปน: Mate de coca) ทำจากใบโคคา การผลิตชาเชิงพาณิชย์จากใบโคคาแพร่หลายมากขึ้น โดยชาดังกล่าวจำหน่ายอย่างเสรีในศูนย์การค้าและร้านค้าทุกแห่งในประเทศแถบแอนเดียน การบริโภคชาโคคาเป็นเรื่องปกติในประเทศอเมริกาใต้ ชาโคคายังใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค เช่นเดียวกับพิธีกรรมทางศาสนาของชาวแอนเดียน บนเส้นทางอินคา (ถนนท่องเที่ยวสู่มาชูปิกชู) ไกด์และนักท่องเที่ยวจะดื่มชาโคคาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากที่สูง เมื่อเจ้าหน้าที่มาเยือนลาปาซ เป็นเรื่องปกติที่จะเลี้ยงแขกด้วยชาโคคา ตามรายงานของสำนักข่าว เจ้าหญิงแอนน์ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 และฮูโก ชาเวซก็ดื่มชาโคคาด้วย

ตำรวจโคลอมเบียกำลังทำลายสวนโคคาโดยการปล่อยยาฆ่าแมลงลงบนสวน และประธานาธิบดีเอโว โมราเลส แห่งโบลิเวีย กำลังเคี้ยวใบโคคา ก็ได้โฆษณาสวนนี้ในการประชุมนานาชาติเกือบทุกครั้งที่เขาเข้าร่วม

โคคาเป็นพืชแบบดั้งเดิมและเกือบจะเป็นพิธีกรรมสำหรับชาวแอนเดียนซึ่งได้รับการปลูกฝังมาอย่างน้อยห้าพันปีและในขณะเดียวกันก็เป็นวัตถุดิบสำหรับยาโคเคนที่มีราคาแพงและได้รับความนิยมมากที่สุดชนิดหนึ่งซึ่งมีการขนส่งผ่าน เม็กซิโกนำไปสู่สงครามทำลายล้างของกลุ่มค้ายาเสพติด โคคาคืออะไร มันชั่วหรือดี? นิตยสาร แม็กเมนส์ฉันตัดสินใจที่จะดำเนินการสอบสวนของตัวเองและค้นหาว่าโคคาคืออะไรและในขณะเดียวกันก็ขจัดทัศนคติแบบเหมารวมซึ่งมีจำนวนมากเกี่ยวกับโคคา

ที่ไหนมีโคเคน แต่ไม่มีโคคา

WHOจากเรา ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องแก๊งค้ายาเม็กซิกันมาก่อนเลย และการขนส่งโคเคนไปยังสหรัฐอเมริกา ? เพราะเหตุนี้ หลายคนเชื่ออย่างจริงจังว่าโคเคนนี้ผลิตในเม็กซิโก ,จากโคคาที่ปลูกที่นั่น มีป่าทางตอนใต้ของเม็กซิโก แล้วทำไมจะไม่มีโคคาที่นั่นล่ะ? ในความเป็นจริง ไม่มีอะไรแบบนี้ , แค่ เม็กซิโกตั้งอยู่ติดกับผู้บริโภคยาราคาแพงรายสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา ดังนั้นเธอจึง ได้กลายเป็นประเทศขนส่งโคเคนที่สำคัญจากโคลัมเบีย

การขนส่งเนื่องจากสงครามนองเลือดเกิดขึ้นในประเทศ แต่ถึงอย่างไร, โคเคนไม่ได้ถูกผลิตขึ้นที่นั่น และไม่มีการปลูกโคคาที่นั่น

โคคาเติบโตที่ไหน?

มากมาย โคคามีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับป่าไม้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้เติบโตทุกที่ - นี่มันน่าขนลุก พืชที่มีความต้องการ โคคาหรือไม้โคคาในหลาย ๆ ด้าน มีลักษณะคล้ายพุ่มชาและต้องการการดูแลที่คล้ายคลึงกันเติบโต ไม่ได้อยู่ในป่าใด ๆ แต่เฉพาะในภูเขาเท่านั้น , บนเนินลาดด้านตะวันออกของเทือกเขาแอนดีส ที่ระดับความสูง 500-1500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สถานที่ที่สูงขึ้นไม่เหมาะกับมันอีกต่อไป - พืชมีความไวต่อน้ำค้างแข็งเพียงเล็กน้อย

ไร่โคคาในเทือกเขาแอนดีส

ด้วยเหตุผลเหล่านี้, ภูมิภาคที่ปลูกโคคานั้นเป็นพื้นที่บางและไม่ต่อเนื่องทอดยาวไปตามเนินเขาด้านตะวันออกของเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้

โคคาเติบโตได้อย่างไร?

เพื่อป้องกันแสงแดดจ้าและเครื่องบินลาดตระเวน จึงปลูกต้นโคคาไว้ใต้ร่มเงาต้นไม้สูง พุ่มโคคาซึ่งเติบโตได้สูงถึง 3 เมตรนั้นปลูกจากเมล็ด จากนั้นเมื่อต้นกล้าเติบโตสูงถึง 40-60 ซม. พวกเขาก็จะถูกปลูกใหม่และกำจัดวัชพืชอย่างระมัดระวังและสม่ำเสมอ การเก็บเกี่ยวใบโคคานั้นคล้ายคลึงกับการเก็บเกี่ยวใบชา: พวกเขารวบรวมหน่ออ่อนสดตากแดดให้แห้ง และคำนึงถึงว่าโคคาเติบโตในที่ชื้นซึ่งมักจะมีฝนตก

ต้นโคคา

มันเป็นศตวรรษที่ 21 แต่ การดูแลโคคาส่วนใหญ่เป็นการใช้แรงงานคน การเก็บเกี่ยวจะเก็บเกี่ยวปีละหลายครั้งและ จำนวนขึ้นอยู่กับการดูแล

การเก็บเกี่ยวโคคา

ด้วยเหตุนี้จึงน่านับถือด้วยซ้ำ พ่อค้ายาชอบที่จะปล่อยให้เกษตรกรรายย่อยปลูกโคคา ซึ่งสามารถให้การดูแลพืชอย่างระมัดระวังและ พวกเขากำลังซื้อผลผลิตอยู่แล้ว .

โคคา - ประเพณีของอินเดีย

คุณมักจะได้ยินสิ่งนั้น โคคาไม่ใช่ยา , และ มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างใบกับผงยาเสพติดสีขาว ยาเสพติดนั้นไม่ดีและ การเคี้ยวใบโคคาเป็นประเพณีอินเดียที่เก่าแก่และเป็นประโยชน์

โคคาในอเมริกาใต้

จริงหรือ, ใบโคคามีโคเคนอัลคาลอยด์ แต่มีปริมาณน้อย , และ เมื่อเคี้ยวใบโคคา ความเหนื่อยล้าของบุคคลจะลดลง ความรู้สึกหิวจะทื่อ มีพลังและมีอาการมึนงงเล็กน้อย เสพโคเคนเกินขนาดอาจตายได้ง่าย แต่... หากต้องการตายจากการเคี้ยวใบโคคาคุณต้องบริโภคมากกว่าหนึ่งกิโลกรัมและในคราวเดียว ซึ่งไม่สมจริงเลย

อย่างไรก็ตามทุกอย่างไม่ง่ายนัก ก่อนการมาถึงของชาวยุโรป โคคามีการปลูกและบริโภค แต่อยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดมากและใน ในจักรวรรดิอินคา โคคาถูกทหารเคี้ยวในการสู้รบที่ยากลำบาก โดยขุนนางและนักบวช แล้วก็ไม่ใช่ทุกวัน ก โคคาไม่สามารถใช้ได้กับชาวนาธรรมดา

โคคาในโคลอมเบีย

การใช้โคคากลายเป็นประเพณีสากลของชาวสเปน ในตอนแรกพวกเขาสั่งห้ามโรงงานเนื่องจากมีการใช้งานอย่างแข็งขันในพิธีกรรมนอกศาสนา แต่แล้วเมื่อเห็นศักยภาพทางการค้าของโคคา พวกเขาก็เริ่มเติบโตและขายมันอย่างแข็งขัน ชาวอินเดียนแดงในแอนเดียนติดผลไม้ต้องห้ามก่อนหน้านี้อย่างกระตือรือร้น และสิ่งนี้ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา เนื่องจากโคคามักผสมกับแอลกอฮอล์เข้มข้นที่นำเข้าโดยชาวยุโรป

เครื่องดื่มโคคา

จากแอลกอฮอล์และโคคา พวกเขาสร้างแสงจันทร์ที่มีพลังอย่างสมบูรณ์ และนอกจากนี้ยังมี คุณสูบโคคาได้ไหม (แห้ง) และ เพิ่มในอาหาร

เคี้ยวใบโคคา

หากคุณตัดสินใจเคี้ยวใบโคคา คุณคงไม่ชอบมัน ความจริงก็คือว่า ถึง Oka ไม่ได้เคี้ยวแบบนั้น แต่ด้วยการเติมมะนาวหรือโซดาหนึ่งกำมือ หรือแม้แต่ขี้เถ้าหรือขี้เถ้าคีนัว เพื่อการปล่อยน้ำผลไม้ที่ดีขึ้น โดยรวมแล้ว ความละเอียดอ่อนของรสชาติที่น่าสงสัย ซึ่งยังไงก็ตาม คนที่มีอายุครบร้อยปีเกือบทุกคนในอเมริกาใต้เคี้ยวอาหาร .

ชาก็ทำจากใบโคคาเช่นกัน แต่นี่มีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวมากกว่า - คนในท้องถิ่นคุ้นเคยกับการเคี้ยวโคคามากขนาดนั้น คนเดินเท้ายังวัดระยะทางเป็นโคคาดา ซึ่งก็คือจำนวนส่วนที่เคี้ยวของโคคา

ในโลกของเราทุกสิ่งมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นจึงไม่มีพืชชนิดใดในโลกที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง คุณจะต้องประหลาดใจ แต่แม้แต่ต้นโคคาก็ยังมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ในตัวมันเอง มันยังคงใช้ในการแพทย์ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าสามารถบริโภคได้ ท้ายที่สุดโคเคนที่มีอยู่ในโรงงานแห่งนี้เป็นสารเสพติดสูงและก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต วันนี้เราจะพูดถึงคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์และเป็นอันตรายของพุ่มไม้นี้และบอกคุณด้วยว่าต้องทำอย่างไรถ้าคุณถูกวางยาพิษ

การใช้ยาของต้นโคคา

ใบโคคาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในเรื่องโคเคนอัลคาลอยด์ที่ใบโคคามีอยู่ ถือเป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์ส่งผลเสียต่อจิตใจและเป็นสารเสพติดสูง

อย่าคิดแม้แต่จะปลูกโคเคนที่บ้าน นี่เป็นความผิดทางอาญาซึ่งคุณสามารถรับโทษที่น่าประทับใจได้

แม้จะมีคุณสมบัติเชิงลบมากมาย แต่โคคาบุชก็พบว่ามีประโยชน์ในทางการแพทย์ เรามาดูกันว่าพืชชนิดนี้มีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร

ประโยชน์ของโคคาต่อร่างกาย:

1. แม้ว่าใบโคคาจะมีสารอัลคาลอยด์ที่เป็นยาเสพติดจำนวนมากซึ่งหนึ่งในนั้นคือโคเคน แต่พืชชนิดนี้อุดมไปด้วยธาตุและวิตามินที่เป็นประโยชน์
2. ก่อนหน้านี้ใบโคคาถูกนำมาใช้ในการแพทย์พื้นบ้านเพื่อเตรียมยารักษาโรคต่างๆ
3. โคเคนยังคงใช้เป็นยาชาเฉพาะที่สำหรับการผ่าตัดช่องปากและตา
4. การทำศัลยกรรมพลาสติกที่ดวงตานั้นแทบจะทำได้ยากหากปราศจากการใช้ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของใบโคคา นอกจากการดมยาสลบแล้ว ยานี้ยังสามารถทำให้หลอดเลือดหดตัวได้
5. ใบโคคาเป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่ทรงพลัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอารมณ์ นอกจากนี้ยังช่วยลดความรู้สึกหิวกระหายอีกด้วย
6. ยาบางชนิดสำหรับโรคหอบหืดในหลอดลมมีสารสกัดจากใบโคคา
7. วิธีการรักษานี้ยังใช้ได้ดีกับโรคระบบทางเดินอาหาร

ใบโคคาไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน เมื่อใช้อย่างถูกต้องก็จะนำมาซึ่งผลประโยชน์เท่านั้น

การติดยาเสพติดและโคเคนบุช

ชาวอินคาโบราณใช้เมล็ดและใบโคคามาตั้งแต่สมัยโบราณ พืชชนิดนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องดื่มให้พลังงานตามธรรมชาติและช่วยกระตุ้นอารมณ์ได้ดี ผลิตภัณฑ์นี้รุนแรงกว่าโคเคนบริสุทธิ์มาก

แม้ว่าการบริโภคใบโคคาจะเรียกว่าการเคี้ยว แต่จริงๆ แล้วคำนี้ยังไม่ถูกต้องทั้งหมด ในความเป็นจริง โคคากรีนจะถูกใส่เข้าไปในช่องปาก และมันจะอ่อนตัวลงและถูกดูดซึม ซึ่งจะทำให้อัลคาลอยด์ถูกดูดซึมเข้าสู่เพดานปากอย่างช้าๆ

ชนเผ่าแอฟริกันปลูกใบโคคามาเป็นเวลานานแล้ว ที่นั่นพืชชนิดนี้ไม่ได้มีความสำคัญทางการแพทย์เท่าความสำคัญทางศาสนา นอกจากนี้ ชนเผ่าที่ใช้โคคามักจะประสบปัญหาขาดสารอาหาร และใบโคคาช่วยเอาชนะความหิวและความกระหาย นอกจากนี้การเคี้ยวดังกล่าวยังรับประกันพลังงานที่เพิ่มขึ้นและอารมณ์ดีขึ้น

การเตรียมใบโคคาเพื่อเคี้ยวในรูปแบบต่างๆ:

1. ชาวอินเดียเคี้ยวใบโคคาผสมกับมะนาว ในการทำเช่นนี้พวกเขานำความเขียวขจีมากำจัดเส้นเลือดออกแล้วจึงกลิ้งเป็นลูกบอลแล้ววางไว้ใต้ท้องฟ้า จากนั้นจึงนำไม้แช่มะนาวเข้าปาก
2. ในเทือกเขาแอนดีส การปลูกโคคามีชัยไปกว่าครึ่ง คุณต้องเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาพิเศษสำหรับมัน ในการทำเช่นนี้ต้นไม้จะถูกเผาในหม้อพิเศษจนกระทั่งกลายเป็นผงละเอียด ชุบเบียร์ข้าวโพดเหล้ายินหรือน้ำมะนาวแล้วก่อตัวเป็นปิรามิดหลังจากนั้นนำไปตากแดดให้แห้ง เมื่อส่วนผสมแข็งตัวจะแตกเป็นชิ้น ๆ โดยเคี้ยวไปพร้อมกับใบโคคา
3. ใบโคคาสามารถเคี้ยวได้ด้วยเครื่องปรุงต่างๆ ตัวอย่างเช่น ในเปรู มีการใช้ใบถั่วคั่วและดอกดาวเรือง

ในประเทศแอฟริกา ต้นโคคาได้รับความนิยมอย่างมาก อุดมไปด้วยสารเสพติดจึงสามารถยกระดับอารมณ์และกระตุ้นการทำงานของสมองได้ อย่างไรก็ตามอย่าคิดว่ามันมีประโยชน์

อันตรายต่อร่างกายของใบโคคา

ใบโคคาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ พวกเขาทำให้ใบหน้าชาและมีผลดีต่อการทำงานของสมอง นอกจากนี้ยังช่วยยกระดับจิตวิญญาณของคุณและยังช่วยเพิ่มพลังงานตามธรรมชาติอีกด้วย อย่างไรก็ตาม พวกเขามีผลข้างเคียงมากมาย

คุณรู้ไหมว่า Stephen King และ Sigmund Freud ใช้โคเคน อย่างไรก็ตามในไม่ช้าพวกเขาก็รู้สึกถึงผลที่ตามมาจากงานอดิเรกดังกล่าวและ "เลิก" ยานี้ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ

พืชเช่นโคคาเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก แม้จะมีคุณสมบัติทางยาทั้งหมด แต่ต้นไม้ต้นนี้ก็ยังมีผลข้างเคียงที่แย่มาก

คุณสมบัติที่เป็นอันตรายของโคคา:

1. ผลข้างเคียงหลักของโคเคนคือการเสพติดอย่างรวดเร็ว ในกรณีนี้ ความผูกพันทางจิตใจเกิดขึ้นเร็วกว่าความผูกพันทางกาย
2. “การถอนตัว” อย่างรุนแรงจะปรากฏขึ้นหลังจากโคเคนหลายโดสเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอยู่ในรูปแบบที่เบากว่าและในระหว่างการเคี้ยวใบไม้ตามปกติ
3. เมื่อเวลาผ่านไป โคเคนในปริมาณก่อนหน้านี้ไม่ได้ให้ผลตามที่ต้องการ พวกเขาจะต้องเพิ่มขึ้น ในกรณีใบโคคาต้องดำรงชีวิตอย่างต่อเนื่อง
4. การเสพโคเคนจะทำลายเยื่อบุโพรงจมูก ขั้นแรก มีบาดแผลที่มีเลือดออกปรากฏขึ้น จากนั้นก็มีรู และในที่สุดรูจมูกทั้งสองก็เชื่อมต่อกันเนื่องจากการตายของผนังกั้นนี้
5. ในไม่ช้าหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากใบโคคาคน ๆ หนึ่งก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า โรคจิตปรากฏขึ้น หลายคนฆ่าตัวตาย
6. อาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองเป็นผลข้างเคียงอีกสองประการจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ได้จากใบโคคา อัลคาลอยด์เหล่านี้ส่งผลเสียต่อสภาพของหัวใจ หลอดเลือด และสมอง
7. เสพโคเคนเกินขนาดมักส่งผลให้เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุผลดังกล่าวด้วยใบโคคา

การติดโคเคนสามารถรักษาได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อสิ่งนี้ บุคคลจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากกับตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว กฎหลักในการฟื้นตัวจากการติดโค้กคือการเลิกโคเคน ผู้ป่วยอาจได้รับยาตามที่กำหนดซึ่งช่วยลดความรุนแรงของ "การชดเชย" และการไปพบนักจิตวิทยา

จะทำอย่างไรถ้าคุณถูกวางยาพิษจากใบและเมล็ดโคคา

โคคาเติบโตในประเทศในแอฟริกา แต่พวกเขาก็นำมาให้เราด้วย นอกจากนี้ยังมี “ช่างฝีมือดั้งเดิม” ที่ปลูกต้นไม้ชนิดนี้ที่บ้าน

น่าเสียดายที่มีคนติดโคเคนไม่มากนัก งานอดิเรกนี้มักนำไปสู่การเสพยาเกินขนาดและส่งผลให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องรู้ว่าต้องทำอย่างไรหากคุณถูกโคเคนวางยาพิษ

จะทำอย่างไรถ้าคุณถูกวางยาพิษจากโคเคน:

1. ก่อนอื่นล้างกระเพาะอาหารด้วยสารละลายคาร์โบลีนหนึ่งเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ใช้ได้เฉพาะเมื่อเคี้ยวใบไม้เท่านั้น
2. ไนโตรกลีเซอรีนสองสามหยดก็ถูกฉีดเข้าไปภายในเช่นกัน มีการใช้เครื่องดื่มอุ่น
3. อาจจำเป็นต้องนวดหัวใจ นี่ถ้ามันหยุด
4. สำหรับโรคจิตขั้นรุนแรงจะมีการสั่งยาที่ใช้รักษาโรคจิตเภท

แน่นอนหากคุณเห็นว่ามีคนเสพยาเกินขนาดคุณควรโทรเรียกรถพยาบาลทันที การใช้ยาด้วยตนเองสามารถทำอันตรายได้เท่านั้น

ผลของใบโคคาต่อมนุษย์ (วิดีโอ)

ใบโคคาใช้ในการแพทย์ เหมาะสำหรับการดมยาสลบบริเวณใบหน้าและปาก อย่างไรก็ตามหากใช้ไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้

YouTube สารานุกรม

1 / 1

út ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ 20 ข้อเกี่ยวกับโคเคน

คำบรรยาย

โคเคนเป็นหนึ่งในยาที่ร้ายกาจที่สุดที่มนุษย์รู้จัก โคเคนมักใช้กับน้ำตาล โนโวเคน ยาบ้า และยาอื่นๆ ที่คล้ายกับโนโวเคน เมื่อคุณเริ่มเสพโคเคน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำจัดโคเคนออกไป ฉันนำเสนอข้อเท็จจริง 20 ข้อเกี่ยวกับหนึ่งในยาที่อันตรายที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 โคเคนเป็นยาที่ได้จากใบของพุ่มไม้โคคา (Coca) ซึ่งเติบโตในที่ราบสูงแอนเดียนของอเมริกาใต้ โคเคนมีอยู่สองรูปแบบหลัก คือ แบบผงและแบบคริสตัล ในรูปแบบผลึก โคเคนจะถูกขายโดยผู้ค้าส่งแล้วจึงนำไปจำหน่าย โคเคนมักถูกลดราคาโดยตัวแทนจำหน่ายเพื่อเพิ่มปริมาณรวมและเพิ่มผลกำไรสูงสุด สารเติมแต่งทั่วไปในโคเคน ได้แก่ แลคโตส ลิโดเคน แป้งข้าวโพด แป้งโรยตัว และน้ำตาล โคเคนเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางที่ทรงพลังที่สุดที่พบในธรรมชาติ หลังจากเสพโคเคน บุคคลนั้นจะมีอาการหดตัวของหลอดเลือด อุณหภูมิเพิ่มขึ้น และอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ผู้คนเริ่มรู้สึกถึงความเข้มแข็ง ความมั่นใจในตนเอง และความรู้สึกอิ่มเอมใจ ราคาขายปลีกโดยเฉลี่ยของโคเคนบริสุทธิ์หนึ่งกรัมในสหรัฐอเมริกาปัจจุบันอยู่ระหว่าง 80 ถึง 100 เหรียญสหรัฐฯ โคเคนคร่าชีวิตผู้คนได้มากกว่ายาผิดกฎหมายอื่นๆ ถึงสามเท่า โคเคนและแอลกอฮอล์รวมกันจะปล่อยสารพิษและคร่าชีวิตผู้ติดยาได้ประมาณ 75% ทุกๆ วัน ชาวอเมริกัน 2.5 พันคนลองโคเคนเป็นครั้งแรก ใบโคคาซึ่งเป็นแหล่งที่มาของโคเคนบริสุทธิ์ ถูกเคี้ยวและกลืนมานานนับพันปีเพื่อสร้างสารเสพติดให้สูง ผู้ชายรู้สึกถึงผลของโคเคนได้เร็วกว่าผู้หญิง โคเคนถูกสกัดครั้งแรกจากใบโคคาในปี พ.ศ. 2402 และถูกเติมลงในไวน์เสริมในฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2406 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2423 เป็นต้นมา เริ่มใช้เป็นยาชา โคเคน ไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งเป็นสารเคมีบริสุทธิ์จากใบโคคา เป็นสารออกฤทธิ์หลักในยาชูกำลังและยาแก้โรคทุกชนิดที่ผลิตขึ้นสำหรับอาการเจ็บป่วยต่างๆ ในช่วงต้นทศวรรษ 1900 จนถึงปี 1903 น้ำอัดลม Coca-Cola มีโคเคนเก้ามิลลิกรัมต่อหนึ่งมื้อเพื่อสร้างผลกระตุ้นที่ทรงพลัง ซิกมันด์ ฟรอยด์ แนะนำโคเคนเป็นยาที่มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยของเขา และต้องทนทุกข์ทรมานจากการติดยาที่ทรงพลังด้วยตัวเขาเอง ทารกที่เกิดจากมารดาเสพโคเคนในระหว่างตั้งครรภ์มีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยและได้รับความเสียหายจากสมอง หลังจากที่โคเคนถูกสั่งห้ามในสหรัฐอเมริกาในปี 1914 ความต้องการโคเคนก็ลดลงอย่างมาก แต่ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา ความนิยมของโคเคนก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง และในช่วงปลายทศวรรษ 1970 โคเคนก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายในหมู่ชาวอเมริกันชนชั้นกลางและสูงกว่านั้น ประมาณ 10% ของผู้เริ่มเสพโคเคนหันไปเสพยาที่ร้ายแรงและยากขึ้นทันที โคเคนสามารถพบได้ในหลายประเทศทั่วโลก ภูมิภาคเดียวที่แทบไม่เคยใช้โคเคนคือเอเชีย เนื่องจากยาในท้องถิ่นมีราคาถูกกว่ามาก โคเคนมากกว่า 800 ตันถูกผลิตทั่วโลกทุกปี

คำอธิบายทางพฤกษศาสตร์

พันธุ์และการจำแนกประเภท

โคคามีหลายประเภท:

• อิริโทรไซลัม โคคา var. คนไถนา, 1979
• อิริโทรไซลัม โคคา var. novo-granatense ดี. มอร์ริส, 1889
• อิริโทรไซลัม โคคา var. สปรูซานัม เบิร์ค, 1890

ตัวแปรโคคาอีริโทรซิลัม ลำ. var. ipadu Ploughman แทบจะแยกไม่ออกจากโคคาธรรมดา (Erythroxylum coca ลำ. var. โคคา) อีกสองสายพันธุ์โดยทั่วไปถือว่าเป็นคำพ้องความหมาย อิริโทรซิลัม โนโวกรานาเทนส์ (ดี.มอร์ริส) ฮีรอน

ประวัติความเป็นมาของโคคา

ซากทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับการเคี้ยวใบโคคาถูกพบในเปรูทางตะวันตกเฉียงเหนือในชั้นวัฒนธรรมที่มีอายุย้อนกลับไปถึง 6,000 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาพบได้ทุกที่ในวัฒนธรรมแอนเดียนต่างๆ

ความใกล้ชิดครั้งแรกของชาวยุโรปกับโคคา

เป็นครั้งแรกที่ชาวยุโรปถูกกล่าวหาว่าพบมันระหว่างการค้นพบโลกใหม่ - เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสได้รับ " ใบไม้แห้งอันทรงคุณค่ามาก” ซึ่งเป็นยาสูบหรือโคคา

การใช้โคคาโดยชาวอินเดียนแดงแอนเดียน

ชาวอินคาใช้โคคาหลายวิธี:

สองวิธีแรกเป็นวิธีหลัก ดังนั้น ผู้บริโภคหลักของโคคาคือผู้ปกครอง Sapay Inca และผู้ติดตามของเขา เช่นเดียวกับวัดและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ดังนั้นประชากรส่วนใหญ่จึงไม่บริโภคโคคา

การค้นพบโคคาโดยชาวยุโรปในเปรู

เมื่อชาวสเปนมาถึงกุสโก เมืองหลวงของอาณาจักรอินคา พวกเขาค้นพบโคคา 2 สายพันธุ์: มาม็อกซ์ โคคา (อิริโทรไซลัมโคคา Lamarck) เติบโตบนเนินลาดด้านตะวันออกของเทือกเขาแอนดีสและ ทูปาโคคา (อีริทอกซิลัม โนโวแกรนเตนซึ่งระบุในภายหลังโดย D. Morris) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและมีไว้สำหรับผู้ปกครองอินคา ซึ่งส่งไปยังกุสโกจากชายฝั่งแปซิฟิกทางตอนเหนือของเปรู ซึ่งผู้ส่งสารและนักเดินทางใช้เพื่อให้กำลังใจเช่นกัน โดยสภาแห่งลิมาครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1567 การเคี้ยวโคคาได้รับการยอมรับว่าเป็นพิธีกรรมนอกรีตและเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งทนายความชื่อดัง Juan de Matienzo (ผู้สนับสนุนการแสวงหาผลประโยชน์จากชาวอินเดียอย่างรุนแรงและผู้ทำการแนะนำชักชวนสมาชิกรัฐสภาเพื่อการเพาะปลูกโคคา) กล่าวในปีเดียวกันว่า: “ อย่า โคกิ- จะไม่มีเปรู" เนื่องจากโคคาเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้ที่สำคัญที่สุดสำหรับอุปราชแห่งเปรูและจักรวรรดิสเปนด้วย ดังที่ Diego de Robles รายงานในรายงานของเขาเกี่ยวกับเปรู (ค.ศ. 1570): “ โคคาเทือกเขาแอนดีสเป็นอันตรายต่อชาวอินเดียนแดง... มันคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก” หมายถึงอัตราการเสียชีวิตที่สูงมากเมื่อเก็บโคคา ซึ่งเติบโตในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อชีวิตมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของชาวอินเดียด้วยการติดเชื้อ โรคที่มักเป็นพาหะของยุง เจ้าหน้าที่ Fernando Santillan พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในรายงานของเขาต่อกษัตริย์สเปนด้วย เขายังให้ข้อมูลว่าภายใต้อินคา การเพาะปลูกโคคายังไม่แพร่หลาย แต่มีเพียงการเก็บเกี่ยวสำหรับชาวอินคาเองและเจ้าหน้าที่อาวุโสจำนวนหนึ่งเท่านั้น และ มีเพียงชาวสเปนเท่านั้นที่เริ่มผลักดันชาวอินเดียไปยังสถานที่ที่โคคาเติบโตเพื่อรวบรวมและเตรียมการ

นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนจำนวนหนึ่งกล่าวถึงโคคาว่าเป็นวัตถุแห่งการบูชาและการบูชายัญ:

• Juan de Betanzos () เป็นหนึ่งในนักประวัติศาสตร์กลุ่มแรกที่พูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับโคคา: “ แล้วพระองค์ทรงบัญชาให้ชาวเมืองทั้งปวงทั้งชายและหญิงมาถวายเครื่องบูชาที่เรือนแห่งดวงอาทิตย์ เมื่อคนทั้งปวงมารวมตัวกันก็เผาเครื่องบูชาเหล่านี้ มีข้าวโพดจำนวนหนึ่งและ โคกิบนกองไฟ แต่ละคนเดินเข้ามาทีละคน เท้าเปล่าและมีสายตาเศร้าสร้อย» .
• Cieza de Leon, Pedro de ใน Chronicle of Peru () ทิ้งข้อมูลมากมายเกี่ยวกับพืชและใบแห้ง: “ ทุกที่ที่ฉันเดินผ่านอินเดียน ฉันสังเกตเห็นว่าชาวอินเดียในท้องถิ่นมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้หยั่งรากอยู่ในปาก เช่น กิ่งไม้หรือหญ้า ดังนั้นในเขตเมืองอันติโอชาจึงมีคนใช้น้อย โคคุและในจังหวัด Armagh - สมุนไพรอื่น ๆ ใน Quimbaya และ Anserma - แกนอ่อนของต้นไม้และพวกมันมักจะเขียวมากพวกมันตัดเส้นเลือดหลายอันซึ่งพวกมันเคี้ยวด้วยฟันเพื่อไม่ให้เหนื่อย ในหมู่บ้านส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเมืองกาลีและโปปายัน พวกเขาพกโคคาชั้นดีที่กล่าวไปแล้วเข้าปาก และจากฟักทองขนาดเล็ก พวกเขาสกัดส่วนผสมหรือส่วนประกอบพิเศษ ซึ่งพวกเขาเตรียมและใส่ในปากของพวกเขา แล้วถือไปที่นั่น โดยทำ เหมือนกับดินพิเศษคล้ายมะนาว ทั่วประเทศเปรูมันเป็นเรื่องธรรมดาและแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังต้องทำเช่นนี้ โคคุตั้งแต่เช้าจรดค่ำโดยไม่ทิ้งมันไป เมื่อถามชาวอินเดียว่าทำไมปากของพวกเขาถึงเต็มไปด้วยหญ้านั้นอยู่เสมอ (ซึ่งพวกเขาไม่ได้กิน แต่เคี้ยวอย่างเดียว) พวกเขาบอกว่าพวกเขารู้สึกหิวน้อยลงและค้นพบความแข็งแกร่งและพลังในตัวเองมากมาย» .
• พระภิกษุฮวน เด ซาน เปโดร () รายงานเกี่ยวกับลักษณะของฤทธิ์ยาเสพติดของโคคา: “ พวกเขายังบูชา Atagukh ด้วยวิธีอื่นด้วย กล่าวคือ โดยการเผา โคคุ(เป็นสมุนไพรที่คนอินเดียให้คุณค่ามากบอกว่าเอาเข้าปากโดยไม่กลืนก็จะมีกำลังมากและกลายเป็นแน่นอน [หัวหน้า; ผู้กล้า] ซึ่งในภาษาของพวกเขาหมายถึงผู้กล้าหาญ)- ด้วยความช่วยเหลือของสมุนไพรนี้ พวกเขาได้ทำบาปและการเสียสละครั้งใหญ่ และพบได้ในวาคัสจำนวนหนึ่ง”
• โปโล เด ออนเดการ์โด ฮวน (): “ ภาษีหรือบรรณาการนี้ถูกจัดเก็บโดยชาวอินคาในฐานะกษัตริย์และผู้ปกครอง ไม่ใช่ในฐานะบุคคลธรรมดา นี่คือที่มาของความเข้าใจผิดที่ดี ระบุไว้ว่าทุกสนาม โคกิเป็นของชาวอินคาซึ่งแท้จริงแล้วด้วยเหตุนี้จึงเป็นของฝ่าพระบาท» .
• โมลินา, คริสโตบัล เด (): “ ยังมีอีกคนหนึ่งชื่อวิรัยพิริคุกที่เอาอกแกะไปเผาไฟแล้ว โคคุและทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามสัญญาณบางอย่างในขณะที่วัตถุเหล่านั้นถูกเผา...»; « พวกเขายังเสนอตะกร้าขนาดใหญ่บางใบให้กับคนทำงานคนเดียวกันด้วย โคกิเรียกว่า ปาฟการ์-รุนกู และอื่นๆ เรียกว่า ปาฟการ์-คินตู เช่น โคคา ข้าวโพดทอด และเปลือกหอยสีแดงและเหลืองที่เรียกว่า มูลยู ในรูปของข้าวโพด...»; « จากนั้นพวกเขาก็ออกไปร้องเพลงและเต้นรำในจัตุรัสซึ่งปัจจุบันเรียกว่าลิมาปัมปาโดยชาวสเปน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังปลาซซานโดมิงโก ในเวลาเช้านี้ พระภิกษุของพระผู้สร้างได้ถวายแกะขาว ข้าวโพด โคคุ, ขนนกหลากสีสัน, เปลือกหอยที่เรียกว่าล่อ; ขอร้องให้พระผู้สร้างประทานปีอันรุ่งเรือง และในเมื่อพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งจากความว่างเปล่าและทรงให้ดำรงอยู่ พระองค์จึงทรงยอมสนองตามคำร้องขอของพวกเขา» .
• อาบีลา ฟรานซิสโก เด (): “ และเมื่อพวกเขาต้องเริ่มทำงานหนัก พวกเขาก็อธิษฐานถึงพระองค์โดยขว้างผ้าปูที่นอน โคกิลงไปที่พื้นว่า “ขอให้ข้าพเจ้าจำสิ่งนี้ที่กุนิรยะวีระโคชะเห็นล่วงหน้า” และเพื่อไม่ให้เห็นวิระโคชะ ชาวเมืองโบราณจึงพูดกับท่านและอธิษฐาน»; « แต่ในขณะนั้นเอง หญิงนั้นก็กลายเป็นหิน และจนถึงทุกวันนี้เธอก็อยู่ที่นั่น ด้วยขาของมนุษย์และเพศที่แตกต่างกัน ตั้งอยู่เหนือถนนที่วาเทียกุริวางไว้ ใช่แล้ว และทุกวันนี้แม้แต่เธอก็ [บูชาและ] บูชายัญแล้ว โคคุด้วยเหตุผลใด ๆ» .

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกเกี่ยวกับโคคาในยุโรป

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชุดแรกได้รับการตีพิมพ์ในยุโรปโดยแพทย์ชาวเซบียา นิโคลัส โมนาร์เดส ในปี ค.ศ. 1565 สันนิษฐานว่ามาจากเนื้อหาที่ Cieza de Leon นำมา การแปลเป็นภาษาละตินดำเนินการโดย Karl Clusius นักพฤกษศาสตร์และผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์อิมพีเรียลในกรุงเวียนนา (ออสเตรีย) และนี่คือผลงานเกี่ยวกับโคคาที่มีผู้อ้างถึงมากที่สุดของเขา

นักวิทยาศาสตร์คนที่สองที่อธิบายโคคาโดยละเอียดคือนักธรรมชาติวิทยา Jesuit José de Acosta ()

ประวัติความเป็นมาของการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโคคาในยุโรป

• - แพทย์และประธานประเทศเปรู Hipolito Unanue อ่านรายงานในนิวยอร์กเกี่ยวกับคุณสมบัติของโคคา
• - ดร. เวดเดลล์แนะนำว่าผลของโคคาเกิดจากการมีอยู่ของทีอีน (ส่วนประกอบออกฤทธิ์ของชา) ซึ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ แต่ไม่สามารถตรวจพบได้
• - จากสารสกัดเข้มข้น - น้ำมันหอมระเหย - ได้ผลึกรูปเข็มเล็กๆ เรียกว่า “ อิริโทรซิลีน».
• - สมาธิถูกสร้างขึ้นจากแอลกอฮอล์ออกซิไดซ์ (จากนั้นแอลกอฮอล์ก็ระเหยไป) และขึ้นอยู่กับสารละลายอัลคาไลของโซเดียมคาร์บอเนต แต่การทดลองล้มเหลว และคุณสมบัติที่ผิดปกติของโคคาก็ถูกประกาศให้เป็นตำนาน
• - โคคากลายเป็นที่รู้จักในยุโรปด้วยบทความของ Paolo Mantegazza
• ครั้นได้รับจากนายแพทย์เชอร์เซอร์ซึ่งเดินทางไปเปรูที่เมืองเกิททิงเงนแล้ว อัลเบิร์ต นีมันน์(เยอรมัน: อัลเบิร์ต นีมันน์) [ ลบเทมเพลต] แยกส่วนประกอบพิเศษออกมา - อัลคาลอยด์ C 32 H 20 NO 8 และเรียกมันว่า โคเคน- ก็ได้รับเช่นกัน ขี้ผึ้งโคเคน- C 66 H 66 O 4 และสินค้าอื่นๆอีกมากมาย การวิจัยโดย Maisch และ William Lessen ได้นำสูตรมาสู่รูปแบบปัจจุบัน C 17 H 21 NO 4
• - เริ่มการผลิตเครื่องดื่มไวน์ที่มีโคเคน “Vino Mariani”
• - Sigmund Freud สนับสนุนการใช้โคเคน
• - โคห์เลอร์ แพทย์จากเวียนนา ค้นพบคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ของโคเคนเมื่อใช้ระหว่างการผ่าตัด
• - Emil Erlenmayer พิจารณาโคเคน “ ภัยพิบัติที่สาม».
• - Coca-Cola ปรากฏเป็นเครื่องดื่มรักษาโรค
• - ในสวนพฤกษศาสตร์หลวงแห่งคิว (บริเตนใหญ่) ชานเมืองลอนดอน ดี. มอร์ริส ระบุว่าเป็น อิริโทรซิลัม โนโวกรานาเทนส์ที่เรียกว่า โคคาโคลอมเบียหรือ โคคาทรูจิล .
• - การแพทย์อเมริกันเรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของโคคาในงานพื้นฐานของมอร์ติเมอร์เรื่อง "The History of Coca"
• - โคเคนรวมอยู่ในอนุสัญญาฝิ่น
• - อนุสัญญากรุงเฮกลงนามในเปรู ซึ่งเริ่มการยุติการใช้โคคา โดยได้รับการสนับสนุนจากจิตแพทย์ชาวเปรู
• - คณะกรรมการ WHO ตัดสินใจว่าการเคี้ยวโคคาพันปีควรถือเป็นความผิดปกติของการใช้สารเสพติด
• - อนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดสากลมีมติให้กำจัดโคคา
• - รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อประเทศที่ปลูกโคคา

ชื่อเรื่อง

	วิกิข่าวในหัวข้อการเคี้ยวโคคา:

การเคี้ยวโคคาเรียกว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, ชัชชาร์(เกชัวฉักฉาย) หรือ อะคูลิคาร์(Quechua akulliy) - เคี้ยวในช่วงเวลาสั้น ๆ เคี้ยวอย่างต่อเนื่อง - กัสตูนีหรือในโบลิเวีย พิกชาร์- กริยาภาษาสเปน มาสติคาร์ก็ใช้บ่อยๆ ควบคู่กับคำสแลง” ขั้ว" - คำที่มาจากคำว่า " บ่วงบาศ", ซึ่งหมายความว่า " เคี้ยวลูกบอลโคคาหลังแก้ม».

ชื่อโคคาส่วนใหญ่ถูกทิ้งไว้โดยผู้เรียบเรียงพจนานุกรมภาษาเคชัว-ภาษาสเปน Diego Gonzalez Holguin () ด้วยเหตุนี้ เดิมทีคำว่า "เมล็ดโคคา" จึงถูกเรียกในภาษาเคชัว มูคลู, "ตะกร้าโคคา" - รุนคู- “ มีโคคา” - อคุลลินี อคุลิคูนิ อคูนิ.

ชื่อทางประวัติศาสตร์ดั้งเดิมอื่น ๆ ของศตวรรษที่ 16-17:

น่าสังเกตว่าคำว่า " สามี"ฟังดูเหมือน" โคคา” แต่อาจจะแตกต่างไปบ้าง เนื่องจากมิชชันนารีคาทอลิกชาวสเปนไม่ได้แยกแยะความแตกต่างระหว่างพยัญชนะแบบสำลักกับพยัญชนะที่ไม่สำลักอย่างชัดเจนเสมอไป นอกจากนี้ยังมีชื่อส่วนตัวของเจ้าหญิงอินคาและภรรยาของผู้ปกครอง -“ โคคา" เช่น ในชื่อ ชูกิ วิภา โคคาภรรยาของผู้ปกครองอาณาจักรวาสการา อินคา (“ ข้อความ kipukamayokov", 1542 )

เภสัชวิทยา

ส่วนประกอบออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของโคคาคือโคเคนอัลคาลอยด์ ซึ่งมีอยู่ในใบสดในปริมาณประมาณ 0.2% นอกจากโคเคนแล้ว ใบโคคายังมีอัลคาลอยด์อื่นๆ อีกหลายชนิด รวมถึงเมทิลเอ็กโกอีน ซินนาเมต, เบนซิลเลกโกอีน, ทรูซิลลีน, ไฮดรอกซีโทรปาโคเคน, โทรปาโคเคน, เอคโกนีน, คัสโคไฮกริน, ไดไฮโดรคัสโคไฮกริน และไฮกริน อัลคาลอยด์ที่ไม่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทบางส่วนยังคงใช้เป็นสารเติมแต่งใน Coca-Cola โคคายังอุดมไปด้วยวิตามินและธาตุขนาดเล็ก เมื่อเคี้ยวใบโคคาจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น ระงับความหิว ความกระหาย และความเหนื่อยล้า ใบโคคาแห้งมีค่า LD50 อยู่ที่ 3,450 มก./กก. อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้คำนวณจากปริมาณโคเคน 31.4 มก./กก.

• ยาชาสังเคราะห์บางชนิด เช่น โนโวเคน ตั้งชื่อตามโคเคน แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับโคคาอัลคาลอยด์

การปลูกและการใช้ประโยชน์

พุ่มไม้โคคาปลูกตามธรรมเนียมในบริเวณเชิงเขาของเทือกเขาแอนดีสหรือที่ราบสูง ขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่ปลูก ตั้งแต่สมัยโบราณ ใบของมันถูกใช้เป็นยากระตุ้นโดยชนเผ่าพื้นเมืองในเวเนซุเอลา โคลอมเบีย เอกวาดอร์ เปรู และโบลิเวีย ในภูเขา เมื่อระดับออกซิเจนต่ำ การดื่มโคคาจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากที่สูงและช่วยให้มีความกระฉับกระเฉง โคคายังมีความสำคัญทางศาสนาและสัญลักษณ์อีกด้วย ปัจจุบันนี้การเคี้ยวใบโคคาเป็นเรื่องปกติในหมู่ประชากรแอนเดียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูเขาโบลิเวีย ซึ่งการเพาะปลูกและการบริโภคโคคาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจำชาติ โคคาทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและศาสนาของชนเผ่าอเมริกาใต้ ใบโคคามีจำหน่ายในถุงที่ตลาดท้องถิ่นและแผงลอยริมถนน นักวิทยาศาสตร์ไม่พบหลักฐานของการเป็นพิษเรื้อรังและการติดยาเนื่องจากการเคี้ยวใบโคคา: 186: 290 ตัวอย่างใบแห้งสดที่ดีจะยืดตรงและมีกลิ่นหอมคล้ายชาเข้มข้น เมื่อเคี้ยวปากจะค่อยๆชามีรสชาติที่คมชัดและน่ารับประทาน ใบไม้แก่จะมีกลิ่นเฉพาะตัว มีสีน้ำตาล และไม่คมพอที่จะลิ้มรส

ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่นิยม สภาพภูมิอากาศของทวีปอเมริกาเหนือเอื้อต่อการปลูกโคคา ในสหรัฐอเมริกา เนื่องจาก "สงครามต่อต้านยาเสพติด" ที่เริ่มขึ้นในต้นทศวรรษ 1970 ซึ่งทำให้การขนส่งโคเคนจากแหล่งผลิตแบบดั้งเดิมทำได้ยาก ผู้ใช้โคเคนบางรายจึงเริ่มปลูกต้นโคคาที่บ้าน (ครั้งแรกในเรือนกระจก และ เร็วๆ นี้บนพื้นที่กลางแจ้งขนาดใหญ่) มีหลักฐานว่าตลาดสำหรับเมล็ดโคคาและเทคโนโลยีการปลูกพืชมีอยู่ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ต้นปี 1977 เจ้าหน้าที่ของรัฐค้นพบสวนโคคาในฟลอริดา เปอร์โตริโก และฮาวาย:302 นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เนื่องจากมียอดขายจำนวนมากในตลาดผิดกฎหมาย การปลูกโคคาอย่างไม่จำกัดจึงถูกห้าม

เมล็ดจะปลูกตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงมกราคมแยกจากหน่ออ่อนในสถานที่ที่ได้รับการปกป้องจากแสงแดด ที่ความสูง 40-60 ซม. ต้นกล้าจะถูกย้ายไปยังดินที่มีการกำจัดวัชพืชอย่างระมัดระวัง ดอกโคคาจะบานได้ดีที่สุดในบริเวณที่ร้อนชื้นในพื้นที่เปิดโล่ง ในป่าเขตร้อน ใบไม้ที่ดีที่สุดจะปลูกในพื้นที่แห้งแล้งและเป็นเนินเขา เก็บเฉพาะยอดสดเท่านั้น ใบที่สุกแก่ประกอบหักเมื่องอ การเก็บเกี่ยวครั้งแรกที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดจะเก็บเกี่ยวในเดือนมีนาคมหลังฤดูฝน ครั้งที่สอง - ณ สิ้นเดือนมิถุนายนครั้งที่สามในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ใบไม้ที่เก็บรวบรวม (มาตู) จะถูกเกลี่ยเป็นชั้นบางๆ บนผ้าขนสัตว์หยาบตากแดดให้แห้ง ใบไม้แห้งจะถูกเก็บไว้ในถุงป้องกันความชื้น

การใช้งานแบบดั้งเดิม

ใช้ทุกวัน

ในเทือกเขาแอนดีส ชนเผ่าพื้นเมืองใช้ใบโคคามานับพันปีแล้ว กระบวนการบริโภคใบโคคาประกอบด้วยการเคี้ยวใบ ดูดซับน้ำที่ปล่อยออกมา และกลืนใบโคคาลงไปเอง:289. ตามธรรมเนียมแล้ว ชาวอินเดียจะถือถุงที่เรียกว่า chuspa หรือ huallqui ซึ่งบรรจุใบโคคาหนึ่งหน่วยบริโภคในแต่ละวัน พร้อมด้วยผงจำนวนเล็กน้อย อิลูกตาหรือ ลิปตา(Quechua llipt "a), ปูนขาวหรือขี้เถ้าคีนัว เคี้ยวผงเล็กน้อยพร้อมกับใบโคคา ซึ่งจะช่วยให้สามารถสกัดอัลคาลอยด์ได้สูงสุดและทำให้กลิ่นหอมฝาดของใบอ่อนลง ชื่อของสารเติมแต่งที่เป็นด่างนี้มีความแตกต่างกัน ประเทศต่างๆ ในเปรู มักเรียกว่า ลิปตา(เกชัว llipt"ก) และ เลเจีย(ภาษาสเปน) เลเจีย- สารเหล่านี้หลายชนิดมีรสเค็ม แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ ในพื้นที่ลาปาซ ประเทศโบลิเวีย - ใช้สารที่เรียกว่า เลเจีย ดุลเช่(ปลากะพงหวาน) ซึ่งทำจากขี้เถ้าของคีนัวผสมกับโป๊ยกั้กและอ้อย ทำให้เกิดเป็นก้อนสีดำนุ่ม มีรสหวาน และมีกลิ่นหอมของชะเอมเทศ บางแห่งใช้เบกกิ้งโซดาที่เรียกว่า sp. ไบโอ .

นักวิจัยแนะนำว่าปริมาณใบโคคาโดยเฉลี่ยต่อวันที่แต่ละคนสามารถบริโภคได้คือประมาณหกสิบกรัม ดังนั้นเมื่อคำนึงถึงปริมาณอัลคาลอยด์ในใบโคเคน (เพียง 0.5-0.7% ของมวล) ปริมาณโคเคนในแต่ละวันที่ร่างกายได้รับอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลานานจึงอยู่ที่ระดับ 200-300 (ตามข้อมูลอื่น ๆ แหล่งที่มา - สูงถึง 500:289) มิลลิกรัม เนื่องจากการดูดซึมโคเคนเมื่อรับประทานก่อนรับประทานค่อนข้างต่ำ - 20-40% การเคี้ยวใบโคคาจึงไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพ ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าถึงความรู้สึกของตนเองจากการเคี้ยวใบโคคาว่าคล้ายกับความรู้สึกหลังจากดื่มกาแฟไปสองแก้ว

การเคี้ยวใบโคคาเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดในสภาพภูเขาที่รุนแรง ใบโคคามีสารอาหารมากมาย นอกเหนือจากสารอัลคาลอยด์ที่เปลี่ยนอารมณ์ พุ่มโคคาอุดมไปด้วยโปรตีนและวิตามินเติบโตในบริเวณที่แหล่งอาหารอื่นขาดแคลน โคคายังถูกนำมาใช้เพื่อระงับความรู้สึกง่วงนอนและปวดหัวที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตต่ำในภูเขา โคคาเป็นสิ่งธรรมดาและเป็นศูนย์กลางของโลกทัศน์ของชาวแอนเดียน ซึ่งมักวัดระยะทางเป็นหน่วยที่เรียกว่า นกกระตั้ว(ภาษาสเปน) โคคาด้า) หรือ ฉลาม(Quechua akulli) และหมายถึงจำนวนใบโคคาเต็มคำที่สามารถเคี้ยวได้ขณะเดินจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ค็อกกาดายังใช้ในการวัดเวลา ซึ่งหมายถึงเวลาที่ใช้ในการเคี้ยวใบโคคาเต็มคำก่อนที่จะสูญเสียรสชาติและประสิทธิภาพไป

การใช้ไสยศาสตร์

ชาโคคา

การใช้งานระดับสากล

โคคาเป็นประเด็นของการลักลอบขนสินค้ามานานแล้ว การส่งออกโคคาแปรรูปอย่างถูกกฎหมายได้รับการยอมรับอย่างดี โดยใบโคคาจะถูกส่งออกเป็นชา เป็นส่วนสำคัญในการเตรียมโคคา-โคลา (ก่อนที่จะทดแทนด้วยคาเฟอีน) และเพื่อใช้ในทางการแพทย์

อุตสาหกรรม

โคคาใช้ทำเครื่องสำอางและในอุตสาหกรรมอาหาร ในอุตสาหกรรมยา โคคาถูกใช้ในการผลิตยาชา

ความถูกต้องตามกฎหมาย

ฮ่องกง

ในฮ่องกง การใช้โคคาได้รับการควบคุมภายใต้ตารางที่ 1 ของกฎหมายว่าด้วยยาอันตราย บทที่ 134 เฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสำหรับการวิจัยในมหาวิทยาลัยเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้โคคา เภสัชกรสามารถใช้สารได้ตามที่กำหนด ใครก็ตามที่จัดหาสารเสพติดโดยไม่มีใบสั่งยาจะถูกปรับ 10,000 ดอลลาร์ฮ่องกง สำหรับการค้ามนุษย์หรือการผลิตสารเสพติด มีโทษปรับ 5 ล้านดอลลาร์ และจำคุกตลอดชีวิต การใช้โคเคนเพื่อการบริโภคโดยไม่มีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายและมีโทษปรับ 1 ล้านดอลลาร์ และ/หรือจำคุก 7 ปี

รัสเซีย

ในรัสเซีย ใบโคคาถูกรวมเป็นยาเสพติดในรายการ I ของบัญชียาเสพติด สารออกฤทธิ์ต่อจิตและสารตั้งต้นที่ต้องควบคุมในสหพันธรัฐรัสเซีย (ห้ามเผยแพร่)

หมายเหตุ

1. สำหรับความธรรมดาในการระบุประเภทของใบเลี้ยงเดี่ยวเป็นอนุกรมวิธานที่เหนือกว่าสำหรับกลุ่มพืชที่อธิบายไว้ในบทความนี้ โปรดดูหัวข้อ “ระบบ APG” ของบทความ “ใบเลี้ยงคู่”
2. อีริโทรซิลัม โนโวกรานาเตน(ภาษาอังกฤษ): ข้อมูลเกี่ยวกับชื่ออนุกรมวิธานบนเว็บไซต์ The Plant List (เวอร์ชัน 1.1, 2013) 20/11/2011
3. ผู้คนเริ่มเคี้ยวใบโคคาเมื่อ 8,000 ปีก่อน (ไม่ได้กำหนด) - บีบีซี รัสเซีย เซอร์วิส (2010-12-2) สืบค้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2017.
4. Cocachasqui - Coca y Mundo Andino Cocachasqui coca Perú เปรู โค้ก โคเคน ยาเสพติด drogas cocaína ยาเสพติด สันติภาพ
5. ฮวน เด มาเตียนโซ เด เปราลตา "โกเบียร์โน เด เปรู"
6. การรวบรวมเอกสารเริ่มต้นของอินเดีย โทโมะ XI. - มาดริด พ.ศ. 2412 หน้า 40
7. Relacion del origen, descendencia, politica y gobierno de los inca (1555) (ไม่ได้กำหนด) - เก็บถาวรจากต้นฉบับเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2012
8. ฮวน เด เบตันซอส.  เรื่องราวเกี่ยวกับอินคาและจำนวนทั้งหมด (ไม่ได้กำหนด) - เก็บถาวรจากต้นฉบับเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2012
9. “พงศาวดารของเปรู  ตอนที่หนึ่ง (แปลโดย A. Skromnitsky)", Kyiv, 2009 (ไม่ได้กำหนด) .