คำจำกัดความของกระบวนการสร้างสรรค์คืออะไร แนวคิดเรื่องความคิดสร้างสรรค์

การวิจัยกระบวนการสร้างสรรค์เกี่ยวข้องกับการระบุขั้นตอนต่างๆ ของมัน (การกระทำ ระยะ ระยะ ช่วงเวลา ระยะ ฯลฯ) การจำแนกประเภทของขั้นตอนต่าง ๆ ที่เสนอโดยผู้เขียนหลายคนมี ตามข้อมูลของ Ya.A. Ponomarev ประมาณเนื้อหาต่อไปนี้:

1. งานที่มีสติ - การเตรียมการซึ่งเป็นสภาวะที่กระตือรือร้นเป็นพิเศษซึ่งเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการเข้าใจแนวคิดใหม่โดยสัญชาตญาณ

2. การทำงานโดยไม่รู้ตัว - การไตร่ตรองการทำงานโดยไม่รู้ตัวกับปัญหาการบ่มเพาะแนวคิดที่เป็นแนวทาง

3. การเปลี่ยนจากจิตไร้สำนึกไปสู่จิตสำนึกเป็นแรงบันดาลใจ อันเป็นผลมาจากการทำงานโดยไม่รู้ตัวความคิดในการประดิษฐ์การค้นพบวัสดุเข้าสู่ขอบเขตของจิตสำนึก

4. งานที่มีสติ – การพัฒนาแนวคิด การออกแบบขั้นสุดท้าย

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะเห็นพ้องต้องกันว่าขอบเขตต่างๆ ของจิตใจมนุษย์เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างสรรค์ แต่เราสังเกตว่าเราแทบจะไม่สามารถพูดถึงการสลับการทำงานของสมองที่มีสติและหมดสติได้อย่างชัดเจน ไม่มีการปิดสวิตช์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งนาที และการครอบงำของระดับจิตใจอย่างใดอย่างหนึ่งในระดับต่างๆ ของความคิดสร้างสรรค์ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ดูเหมือนเหมาะสมกว่าที่จะอธิบายขั้นตอนของความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่จากมุมมองที่ส่วนหนึ่งของจิตใจรับผิดชอบ แต่จากมุมมองของสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะเหล่านี้ และในกรณีหลังนี้เราสังเกตเห็น ลำดับของกระบวนการบังคับ:

1. การอนุรักษ์ข้อมูลเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนในการประมวลผลข้อมูล ซึ่งรวมถึงสติปัญญา อารมณ์ เจตจำนง และทุกระดับของจิตใจ

2. การรวมตัวกันใหม่ - การรวมองค์ประกอบเก่าเข้าด้วยกันบนพื้นฐานใหม่ในการเชื่อมต่อใหม่ (ที่ระดับข้อมูล!) เกิดจากความปรารถนาที่จะสร้างบางสิ่งที่มีเอกลักษณ์

3. การสืบพันธุ์บนพื้นฐานของความคิดทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ได้พัฒนาในมนุษย์

การมีอยู่ของระยะแรกไม่ได้รับการยอมรับจากนักวิจัยทุกคน แต่ไม่มีใครสงสัยในสองช่วงสุดท้าย A. Maslow เรียกสิ่งเหล่านั้นว่าขั้นปฐมภูมิและขั้นทุติยภูมิของความคิดสร้างสรรค์ ระยะแรกมีลักษณะความกระตือรือร้นและความสนใจอย่างมาก ที่นี่บุคคลเข้าใจปัญหา เห็นวิธีแก้ปัญหาในอุดมคติ และด้นสดในการหาวิธีที่จะบรรลุเป้าหมาย ขั้นที่สองของความคิดสร้างสรรค์คือการพัฒนาสื่อที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ สิ่งนี้ต้องการการกระทำที่เฉพาะเจาะจง ความชำนาญในวิธีการสร้างสรรค์ และความเชี่ยวชาญ หลายๆ คนต้องผ่านช่วงแรก แต่การเรียนรู้ระยะที่สองนั้นเป็นงานหนัก และแรงบันดาลใจเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ลักษณะเฉพาะของความคิดสร้างสรรค์ด้านนักข่าวอยู่ที่การครอบงำของระยะสุดท้ายซึ่งเป็นระยะสุดท้าย สำหรับการสื่อสารมวลชน คำพูดของ A. Maslow เป็นจริง: “...กำลังใจและแรงบันดาลใจนั้นราคาถูก ความแตกต่างระหว่างแรงบันดาลใจกับผลงานขั้นสุดท้ายคือการทำงานหนักอย่างมาก”

ขั้นตอนทั้งหมดที่เราสรุปไว้ดำเนินไปอย่างประสบความสำเร็จไม่มากก็น้อยขึ้นอยู่กับคุณสมบัติบุคลิกภาพ เช่น ความสามารถในการมีสมาธิ (เนื่องจากนักข่าวต้องทำงานในสภาวะที่มีสิ่งรบกวนสมาธิสูงมาก) ความเห็นอกเห็นใจ (ทำให้นักข่าวได้รับข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้นและ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกับคู่สนทนา) การกระจายความสนใจอีกครั้ง

จากมุมมองของจิตวิทยา ความคิดสร้างสรรค์ในความหมายกว้างๆ ทำหน้าที่เป็นกลไกในการพัฒนาบุคคลและสังคม การทำงานของกลไกความคิดสร้างสรรค์แบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน:

1. การวิเคราะห์ปัญหาทางภววิทยา - การประยุกต์ใช้ความรู้ที่มีอยู่, การเกิดขึ้นของความต้องการความแปลกใหม่;

2. โซลูชันที่ใช้งานง่าย - ตอบสนองความต้องการความแปลกใหม่

3. การใช้วาจาของการตัดสินใจตามสัญชาตญาณ - การได้มาซึ่งความรู้ใหม่

4. การทำให้ความรู้ใหม่เป็นทางการ - การกำหนดวิธีแก้ปัญหาเชิงตรรกะ

ย้อนกลับไปในปี 1926 Graham Walls นักสังคมวิทยาชาวอังกฤษ บรรยายขั้นตอนของความคิดสร้างสรรค์ในลักษณะเดียวกันเกือบทั้งหมด: การเตรียม การบ่มเพาะ ความเข้าใจ และการทดสอบ และผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษาเชิงสร้างสรรค์ในนิวยอร์ก อเล็กซ์ ออสบอร์น ได้ให้คำอธิบายโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการสร้างสรรค์:

1. ปฐมนิเทศ – คำจำกัดความของงาน

2. การเตรียมการ – รวบรวมข้อมูลงาน

3. การวิเคราะห์ – ศึกษาวัสดุที่รวบรวม

4. การก่อตัวของความคิด - การพัฒนาทางเลือก;

5. การฟักตัว – ทำความเข้าใจกับทางเลือกต่างๆ

6. การสังเคราะห์ - การพัฒนาโซลูชัน

7. การประเมิน - การพิจารณาแนวคิด

นักวิจัยเกี่ยวกับกระบวนการสร้างสรรค์งานข่าวมักจะสังเกตว่าในการสื่อสารมวลชนลักษณะการจัดฉากของการสร้างสรรค์นั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจน: ปรากฏว่าเป็นเอกภาพของสองส่วนที่ค่อนข้างเป็นอิสระ - ขั้นตอนการได้รับข้อมูลและขั้นตอนของการสร้างข้อความ ให้เราพิจารณาขั้นตอนเหล่านี้และส่วนประกอบจากมุมมองของความรู้ทางจิตวิทยา

1. ขั้นตอนของกิจกรรมการเรียนรู้

ดังนั้นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างสรรค์จึงเกี่ยวข้องกับการสะสมข้อมูล การเรียนรู้ความเป็นจริงเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับช่วงเวลาเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ การพัฒนานี้เกิดขึ้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของความคิดสร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น นักเขียนและกวี ส่วนใหญ่มักไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการสังเกตและจดจำตนเอง ศิลปินและนักดนตรี – ยิ่งกว่านั้นอีก การดูดซึมความเป็นจริงของพวกเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นธรรมชาติ แม้ว่าพวกเขาจะใช้โน้ตบุ๊กก็ตาม สมุดบันทึกของ A.P. เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการวรรณกรรม Chekhov หรือสมุดบันทึกของ F.M. ดอสโตเยฟสกี้. นักเขียนยังคงอยู่ในนั้น และการอ่านข้อความเหล่านี้ก็น่าสนใจพอๆ กับงานศิลปะ นอกจากบันทึกความทรงจำของเธอแล้ว นักแสดงภาพยนตร์ชื่อดัง Marlene Dietrich ยังทิ้ง "The ABCs of My Life" ไว้ให้เรา ซึ่งมีบันทึกเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียง สูตรอาหาร การอภิปรายเชิงปรัชญาในหัวข้อต่างๆ และรายละเอียดชีวประวัติในชีวิตประจำวัน ขั้นตอนนี้แสดงให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นในงานของนักวิทยาศาสตร์ บ่อยครั้งนี่คือสิ่งที่ใช้เวลานานกว่า ไม่ว่าในกรณีใด เราเรียกขั้นแรกว่าการรับรู้ได้

ไม่ว่าเราจะรับข้อมูลด้วยวิธีใดก็ตาม โดยพลการ จากการสังเกต หรือการค้นหาพิเศษ ในที่สุดเราก็ได้รับข้อมูลผ่านกระบวนการรับรู้ การรับรู้เชิงสร้างสรรค์มีความโดดเด่นด้วยคุณสมบัติหลายประการ:

1. การผสมผสานระหว่างส่วนทั้งหมดและรายละเอียด ซึ่งช่วยให้คุณมองเห็นวัตถุสามมิติในความสัมพันธ์และความสัมพันธ์ทั้งหมด ดังนั้น จึงเข้าใจถึงลักษณะเฉพาะและความแปลกใหม่ของมัน

2. การผสมผสานระหว่างรูปแบบภายนอกและเนื้อหาภายในซึ่งให้ความเข้าใจในแก่นแท้ของสิ่งที่ซ่อนเร้นจากหลาย ๆ คน

3. การผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์และแบบฉบับในวัตถุเดียวซึ่งช่วยให้คุณสามารถพิมพ์และในขณะเดียวกันก็ระบุสิ่งที่เกิดขึ้น

4. การผสมผสานระหว่างเชิงบวกและเชิงลบ ซึ่งให้วิสัยทัศน์ของความขัดแย้งและความแตกต่าง

ในการสื่อสารมวลชนระยะเริ่มต้นของการกระทำเชิงสร้างสรรค์เป็นปรากฏการณ์ที่เฉพาะเจาะจงมากในแง่ของขอบเขตของงานและความซับซ้อนของเงื่อนไข: เป็นกิจกรรมการรับรู้ที่มีสติและมีจุดมุ่งหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับการได้รับความรู้ในการปฏิบัติงานที่เชื่อถือได้อย่างเป็นธรรมเกี่ยวกับความเป็นจริงในปัจจุบัน ตามกฎแล้ว จะดำเนินการโดยบุคคลเพียงลำพัง ในกรอบเวลาที่จำกัดมากและแม้แต่ในโหมดการสื่อสารระหว่างบุคคล ซึ่งทำให้งานยากอย่างห้ามปราม ในกิจกรรมระดับนี้ นักข่าวจะสร้างข้อเท็จจริง กำหนดสาระสำคัญ และศึกษาข้อเท็จจริง

นักข่าวที่มีประสบการณ์หลายคนยอมรับว่าพวกเขาประเมินเกือบทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาในแง่ของวิธีการอธิบายเรื่องราวในเรื่องราว (วิสัยทัศน์แห่งการเปลี่ยนแปลง) มุมมองแบบมืออาชีพบางครั้งอาจล่วงล้ำ แต่นี่ไม่ใช่การเบี่ยงเบนไปจากวิชาชีพนักข่าวเท่านั้น แพทย์โดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อมองแวบแรกบุคคลจะกำหนดสภาวะสุขภาพของเขาครูจะกำหนดระดับสติปัญญาของเขาช่างตัดเสื้อจะกำหนดคุณภาพของเสื้อผ้าช่างทำผมจะกำหนดทรงผมของเขา ฯลฯ แนวทางนี้เป็นการเปลี่ยนรูปแบบทางวิชาชีพซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคน ในชีวิตประจำวัน อาจกีดขวางเราจากการประเมินชีวิตด้วยวิธีที่หลากหลายและหลากหลาย แต่สิ่งนี้ช่วยนักข่าวได้ เนื่องจากสามารถบันทึกปรากฏการณ์ที่ควรค่าแก่ความสนใจแล้วนำไปใช้ในเนื้อหาได้ กระบวนการนี้ขึ้นอยู่กับการกระทำของกลไกการติดตั้ง: เราแก้ไขแนวคิดเหล่านั้นที่เราสนใจในปัจจุบันในความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น สตรีมีครรภ์มักสังเกตว่าพวกเขาไม่ได้คิดว่ามีสตรีมีครรภ์จำนวนมากบนท้องถนนในเมือง เกือบจะสิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับนักข่าว ธรรมชาติของการรับรู้แบบโมเสกซึ่ง Spengler ตั้งข้อสังเกตนั้นก็แสดงออกมาในระดับกิจกรรมระดับมืออาชีพเช่นกัน และที่นี่การครอบงำของระดับหนึ่งของจิตใจ - จิตสำนึก - มีบทบาทอย่างมาก ในด้านหนึ่ง สติสัมปชัญญะยับยั้งการแสดงออกโดยธรรมชาติของบุคลิกภาพที่สร้างสรรค์ แต่ในทางกลับกัน (และนี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักข่าว!) จิตสำนึกเป็นพลังที่ส่งเสริมกิจกรรมที่สร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลงได้ ช่วยให้นักข่าวสามารถสำรวจสภาพแวดล้อม ปรับให้เข้ากับความต้องการของสื่อ และค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับตัวเขาเองและสื่อของเขา จิตสำนึกจะ "ตรวจสอบ" ประสบการณ์ภายในและภายนอกของบุคคลอย่างต่อเนื่อง และช่วยให้นักข่าวให้ความสนใจกับหัวข้อที่ในด้านหนึ่งน่าสนใจสำหรับเขาและอีกด้านหนึ่งสำหรับผู้ชม

ถัดมาเป็นขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น สาระสำคัญของขั้นตอนนี้คือนักข่าวจะจดจำทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาและเลือกเนื้อหาตามที่เขาต้องการ สิ่งที่สำคัญที่สุดในขั้นตอนนี้คือการระบุแหล่งข้อมูลที่เพียงพอในหัวข้อนี้ หากข้อมูลมาจากบุคคล เกณฑ์หลักสำหรับการเลือกที่ประสบความสำเร็จคือความสามารถและการมีทักษะในการเล่าเรื่อง เกณฑ์ที่ต้องการคือการมีทักษะในการสื่อสารกับนักข่าว (ทำให้งานง่ายขึ้นอย่างมาก) ความพร้อมของข้อมูลพิเศษ และความสามารถในการนำเสนอในรูปแบบที่เข้าถึงได้

ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น เราได้รับข้อมูลจำนวนมากและไม่ใช่ทั้งหมดที่น่าสนใจสำหรับนักข่าวจากมุมมองของมืออาชีพ มีเกณฑ์ทั่วไปสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์สาธารณะบางประการ:

1. การปรากฏตัวของความขัดแย้งในข้อมูล

2. ความหายนะ;

3. ข้อมูลที่มีผลกระทบทางสังคมที่ชัดเจน

4. ทัศนคติต่อคนดัง

5. ผิดปกติเอกพจน์;

6. ภูมิหลังทางอารมณ์ที่สดใสของงาน

ถัดมาคือคำจำกัดความของวิชาเฉพาะของการศึกษา จากข้อเท็จจริงทั่วไป นักข่าว (หรือบรรณาธิการ) จะเลือกข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ชม ไม่ว่าข้อมูลจะเป็นเช่นไร ความเกี่ยวข้องนั้นขึ้นอยู่กับการเลือกโดยตั้งใจหรือโดยไม่รู้ตัวของผู้ชมเสมอ และนี่คือการตั้งค่าใจความของผู้ชมที่เปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของค่าตัวแปรและส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยตัวนักข่าวเอง

อย่างไรก็ตาม คุณสามารถพิจารณาหัวข้อสำคัญของผู้ชมได้:

1. ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบ (เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ที่รู้จักกันดีซึ่งเราไม่รู้จัก)

2. ลดความซับซ้อนของข้อมูล (ถอดรหัสปรากฏการณ์ที่ซับซ้อน) เรียกอีกอย่างว่าการต่อต้านข้อมูลเพราะช่วยให้สมองของเราได้พักผ่อน

3. ข้อมูลความรู้สึกไม่พึงปรารถนา (ไฟไหม้ พายุฝนฟ้าคะนอง ฯลฯ)

4. ข้อมูลจากหรือเกี่ยวกับความรู้สึกตามสัญชาตญาณ

5. ประสบการณ์ส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้ชมส่วนใหญ่ แต่ได้รับการจัดอันดับว่าประสบความสำเร็จมากกว่าเล็กน้อย

เมื่อกำหนดหัวข้อแล้ว การศึกษาตามหัวข้อจะตามมา

ในทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ด้านนักข่าว มักจะกำหนดกลยุทธ์สองประการในการค้นหาข้อมูล - เชิงสถานการณ์และการกำหนดเป้าหมาย

ในขั้นตอนนี้นักข่าวใช้วิธีการต่างๆในการรับข้อมูลซึ่งแต่ละวิธีมีบทบาทอย่างมากในองค์ประกอบทางจิตวิทยา

กระบวนการค้นหาข้อมูลขึ้นอยู่กับความสามารถในการค้นหาโดยทั่วไปของบุคคลซึ่งเป็นปัจจัยที่กำหนดอย่างลึกซึ้ง ความจำเป็นในการค้นหานั้นมีอยู่ในพันธุกรรมในทุกคนและไม่ได้มีขอบเขตเท่ากัน ความต้องการนี้จะต้องเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามที่กลไกมีผลใช้บังคับ ในสถานการณ์ที่ต้องค้นหาวิธีแก้ปัญหาหรือบรรลุผล สาเหตุของความทุกข์ไม่ใช่ความยากลำบากของสถานการณ์ แต่เป็นการปฏิเสธที่จะค้นหา (ที่เรียกว่า "ความเครียดแห่งความหวังที่พังทลาย") และทำให้ร่างกายอ่อนแอมากขึ้น มีแม้กระทั่งบุคลิกภาพบางประเภท (โคโรนัล) ซึ่ง "ชัยชนะ" ในสถานการณ์การค้นหามีความจำเป็นพอๆ กับทางอากาศ และหากบุคคลดังกล่าวต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ก็มักจะส่งผลให้สุขภาพเสื่อมถอยลงอย่างมาก

นักข่าวมักเป็นคนประเภทนี้ อย่างไรก็ตาม ฟังก์ชันชดเชยบางอย่างในแง่นี้ดำเนินการโดยแนวคิดที่ว่าข้อมูลสามารถพบได้ทุกที่ ดังนั้น จากการสำรวจนักข่าวมากกว่าสามร้อยคนพบว่านักข่าวระบุว่ากองบรรณาธิการหรือบริษัทโทรทัศน์เป็นแหล่งข้อมูลที่มีข้อมูลมากที่สุด (69%) เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานจากสื่ออื่น ๆ (66%) กล่าวคือ ในระดับจิตวิทยา นักข่าวมีความรู้สึกได้รับแจ้ง แม้ว่าเขาจะปรากฏตัวในที่ทำงานก็ตาม โดยหลักการแล้ว นี่ไม่ใช่กรณี แต่โดยอัตนัยแล้ว แนวคิดนี้ช่วยปกป้องนักข่าวจากปัจจัยความเครียด

ขั้นตอนการค้นหารวมถึงการทำงานของจิตใจมนุษย์ทุกระดับ แต่เข้มข้นกว่าระดับอื่น ๆ - จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และจิตสำนึกเหนือสำนึก จิตสำนึกทำให้เกิดการกำหนดคำถาม ข้อกำหนดของแนวคิด และเป้าหมายที่ชัดเจน จิตใต้สำนึกส่วนใหญ่จะกำหนดวิธีการนำแนวคิดไปใช้ บรรลุเป้าหมาย (การเลือกประเภท มุมมอง สไตล์ ฯลฯ) และการเกิดของภาพ จิตสำนึกเหนือธรรมชาติ “เปิดตัว” กลไกของการแก้ปัญหาเชิงลึก ใช้งานง่าย และสร้างสรรค์ในทันที

ภายนอก กระบวนการเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนโดยวิธีการพิเศษในการค้นหาข้อมูล ซึ่งจะใช้เมื่อไม่สามารถรับข้อมูลได้เอง เนื่องด้วยสถานการณ์บางอย่าง การค้นหาข้อมูลแบบกำหนดเป้าหมายสามารถทำได้หลายวิธี:

การสังเกต;

การวิจัยเอกสาร

การสอบสวนสถานการณ์

แบบสอบถาม;

การทดลอง;

สัมภาษณ์.

การสังเกตขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคคลในการรับรู้โลกในกระบวนการติดต่อกับภาพและเสียง การสังเกตแบบนักข่าวแตกต่างจากการสังเกตแบบธรรมดาตรงที่มีจุดมุ่งหมาย และพูดง่ายๆ ก็คือเน้นไปที่แนวคิดที่ใช้ได้ผล ความนิยมของวิธีนี้เกิดจากสาเหตุหลายประการ:

1. การปรากฏตัว ณ ที่เกิดเหตุช่วยปรับปรุงคุณภาพของวัสดุได้อย่างมาก

2. การสังเกตโดยตรงช่วยให้คุณเห็นหรือเข้าใจสาระสำคัญของสิ่งที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ ความเชื่อมโยงที่เป็นความลับบางอย่างที่หลุดรอดจากการนำเสนอของผู้อื่นหรือข้อมูลอย่างเป็นทางการ

3. การสังเกตทำให้สามารถประเมินและสรุปผลได้อย่างอิสระ

4. เมื่อสังเกต การเลือกข้อเท็จจริงสำหรับข้อความทำได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าการทำงานกับเอกสาร (เช่น ข่าวประชาสัมพันธ์)

จะรวมการสังเกตด้วยหรือไม่ก็ได้ ในกรณีแรกนักข่าวจะเข้าร่วมงานด้วย และนี่คือสถานะบุคลิกภาพพิเศษ ดังนั้นจึงมีกฎการสังเกตที่ปฏิบัติตามได้ดีที่สุด:

1. จำแนกองค์ประกอบของเหตุการณ์ที่ต้องติดตามโดยละเอียดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยใช้ตัวบ่งชี้ที่ชัดเจน

2. สังเกตวัตถุเดียวกันในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน (เช่น ตัวเอกของวัตถุ)

3. บันทึกเนื้อหารูปแบบการสำแดงของเหตุการณ์ที่สังเกตและลักษณะเชิงปริมาณอย่างชัดเจน (ความเข้มข้น ความสม่ำเสมอ ช่วงเวลา ความถี่)

4. ใช้กราฟเพื่อแสดงความคิดเห็นและข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง

เมื่อทำงานกับเอกสาร คุณควรปฏิบัติตามกฎบางประการที่กำหนดโดยทัศนคติทางจิตวิทยา:

1. แยกแยะระหว่างคำอธิบายเหตุการณ์และการตีความ (ข้อเท็จจริงและความคิดเห็น)

2. กำหนดแหล่งข้อมูลที่ผู้เขียนเอกสารใช้ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข้อมูลหลักหรือรอง

3. ระบุความตั้งใจที่เป็นแนวทางของผู้ร่างเอกสาร

4. พิจารณาว่าคุณภาพของเอกสารอาจได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมที่เอกสารถูกสร้างขึ้นอย่างไร

5. ระบุความตั้งใจที่แนะนำบุคคลที่มอบเอกสารให้กับคุณ

สำหรับการสอบสวนนั้นอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการที่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านจิตวิทยาสังคมเช่นในคำถามเกี่ยวกับการสะท้อนของหัวข้อ ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้วิธีการที่เป็นอันตรายและยากลำบากในการค้นหาข้อเท็จจริงที่ผู้ชมไม่สนใจ โปรดทราบว่าผู้อ่านมีความสนใจในสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อตนเองหรือคนใกล้ชิดเป็นหลัก

ในการทดลอง วัตถุเป็นเครื่องมือในการสร้างสถานการณ์จำลอง สิ่งนี้ทำเพื่อให้นักข่าวสามารถทดสอบสมมติฐานในทางปฏิบัติ จำลองสถานการณ์บางอย่างที่จะทำให้เขารู้วัตถุที่กำลังศึกษาได้ดีขึ้น นอกจากนี้ในการทดลองใดๆ ช่วงเวลาการรับรู้จะรวมกับช่วงเวลาด้านการจัดการด้วย

จริยธรรมของวิธีนี้ถูกตั้งคำถาม แต่นักข่าวและนักทฤษฎีจำนวนมากเชื่อว่าวิธีนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่ยอมรับเท่านั้น แต่บางครั้งก็เป็นที่น่าพอใจด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่สถานการณ์จำเป็นต้องชี้แจงอย่างเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาล่าช้า

Kashinskaya ตั้งชื่อแรงจูงใจต่อไปนี้ซึ่งจำเป็นต้องมีการทดลอง:

1. ข้อมูลไม่เพียงพอที่จะตรวจสอบหรือชี้แจงสมมติฐานของนักข่าว

2. การไม่สามารถรับข้อมูลดังกล่าวโดยวิธีอื่น

3. ความจำเป็นที่จะได้รับข้อโต้แย้งที่เชื่อถือได้ทางจิตวิทยา

การทดลองนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างแรงกระตุ้นเทียมที่ออกแบบมาเพื่อเปิดเผยบางแง่มุมของบุคคล นักข่าวสามารถทำการทดลองกับตัวเองได้โดยการแทรกตัวเองเข้าไปในสถานการณ์บางอย่าง

วิธีการชีวประวัติมักใช้ในการสื่อสารมวลชน มันถูกยืมมาจากสาขาความรู้ที่เกี่ยวข้อง: การวิจารณ์วรรณกรรม กลุ่มชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา และเหนือสิ่งอื่นใดคือจิตวิทยา

วิธีการประกอบด้วยการสำรวจผู้เข้าร่วมโดยตรงในประเด็นสำคัญทางสังคม

ตั้งแต่แรกเริ่มทัศนคติของนักข่าวต่อวิธีการชีวประวัติมีความสับสน ผู้วิจัยสามารถพึ่งพาความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เห็นเหตุการณ์เท่านั้น ดังนั้นความเข้าใจเชิงจิตวิทยาจึงมีความจำเป็น ปัจจัยของความเป็นส่วนตัวเมื่อใช้วิธีนี้ปรากฏอยู่ในทุกสิ่ง: ในประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของบุคคลในพฤติกรรมในการกระทำในการตัดสินคุณค่าและในตำแหน่งทางอุดมการณ์ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนพูดว่า “มันน่ากลัวมากจนฉันขยับตัวไม่ได้” นั่นหมายความว่าสถานการณ์นั้นเป็นหายนะจริงๆ หรือนี่เป็นเพียงคนที่น่าประทับใจ? แต่เรื่องราวชีวิตของคน ๆ หนึ่งสามารถช่วยสร้างพลวัตของการพัฒนากระบวนการบางอย่างขึ้นมาใหม่ได้

เมื่อใช้วิธีการชีวประวัติคุณต้องปฏิบัติตามกฎต่อไปนี้:

1. เปรียบเทียบประวัติศาสตร์ของบุคคลหนึ่งกับประวัติศาสตร์ของสังคมที่เขาอาศัยอยู่

2. เข้าใจพลวัตของชีวประวัติของบุคคล อย่านำเรื่องราวออกจากบริบทของชีวประวัติ

3. เข้าใจพฤติกรรมของบุคคลเปิดเผยแรงจูงใจของเขา

ในการสื่อสารมวลชนโดยใช้วิธีชีวประวัติจะรวบรวมคำให้การข้อสังเกตและความทรงจำของพยานต่างๆ

2. ขั้นตอนการสร้างข้อความ

ผลลัพธ์ของขั้นตอนนี้คือผลิตภัณฑ์นักข่าวที่เสร็จสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ระยะนี้ก็เกิดขึ้นเป็นระยะเช่นกัน

1. การสุกแก่ ขั้นตอนนี้เป็นลักษณะของการสร้างสรรค์ เมื่อได้รับข้อมูลเพียงพอแล้ว สมองต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำสิ่งที่เรียกว่าการสร้างความคิด โดยปกติแล้วขั้นตอนนี้จะมองไม่เห็นไม่เพียง แต่สำหรับผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้สร้างด้วย อย่างไรก็ตาม ในแวดวงสื่อสารมวลชน ขั้นตอนนี้ก็มีความเฉพาะเจาะจงในตัวเองเช่นกัน และความเฉพาะเจาะจงอยู่ในข้อกำหนดง่ายๆ เช่นประสิทธิภาพ นักเขียนหรือศิลปินสามารถรักษาความคิดของตนไว้ได้หลายปี สามารถทิ้งมันไว้และกลับมาอีกครั้งหลังจากผ่านไปนานแล้ว นักข่าวไม่สามารถจ่ายสิ่งนี้ได้

2. ข้อมูลเชิงลึก ระดับที่การพูดหรือการแสดงความคิดเกิดขึ้นในจิตใจ

ขั้นตอนแรกของกระบวนการนี้คือการสร้างแนวคิดขั้นสุดท้าย มันสันนิษฐานถึงการกำเนิดของวิสัยทัศน์แบบองค์รวมแม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนนักเกี่ยวกับงานในอนาคต วิสัยทัศน์ดังกล่าวเกิดขึ้นบนพื้นฐานของแนวคิดที่ได้รับระหว่างการศึกษาสถานการณ์ อย่างไรก็ตามมันไม่เหมือนกัน แนวคิดคือความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงบวกกับการตีความ ทัศนคติต่อสิ่งนั้น และแผนงานก็เป็นภาพทางจิตของงานในอนาคตอยู่แล้ว ซึ่งรวมถึงในรูปแบบย่อ ธีมและแนวคิด และหลักการจัดงาน นั่นคือแผนคือเป้าหมายเฉพาะในการพัฒนาที่อุทิศให้กับขั้นเริ่มต้นของการสร้างสรรค์และซึ่งในขั้นตอนสุดท้ายนั้นจะถูกรวมไว้ในข้อความ

การเปลี่ยนแปลงแนวคิดให้เป็นแนวคิดคือช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาอย่างสร้างสรรค์อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะมีสติหรือหมดสติ ในบางกรณีพวกมันไปขนานกับกระบวนการรับรู้และมันเกิดขึ้นว่ายังไม่ได้รวบรวมเนื้อหา แต่นักข่าวรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร แต่มันเกิดขึ้นในทางกลับกัน ความคิดไม่ได้ถูกสร้างขึ้น ทำไม หากเรารู้ว่าแผน = หัวข้อ + แนวคิด + การเคลื่อนไหว (เช่น ขั้นตอนเฉพาะสำหรับการนำหัวข้อและแนวคิดไปใช้) ก็มีวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยตัวเราเองได้ - หันไปใช้ตรรกะ โดยตระหนักถึงเงื่อนไขแต่ละข้อ บ่อยที่สุดปรากฎว่าสาเหตุของการเบรกคือไม่มีหลักการในการจัดระเบียบข้อความการเคลื่อนไหว (เรียกอีกอย่างว่ากุญแจการเลี้ยว) คุณต้องมุ่งเน้นไปที่การค้นหามัน

ในช่วงเวลาสุดท้ายของการจัดทำแผนสื่อสารมวลชนมักเกิดปัญหาเฉียบพลัน - เมื่อใดควรหยุด? บางครั้งมันเกิดขึ้นที่เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่าตัวเลือกนี้ดีที่สุดและเราไม่สามารถสร้างสิ่งใดที่เพียงพอไปกว่านี้ได้ แต่มันก็เกิดขึ้นเช่นกันว่าทุกอย่างชัดเจน มีความคิดที่ดี แต่คุณยังสามารถคิดได้ ทันใดนั้นตัวเลือกที่ดีกว่าก็จะปรากฏขึ้น ที่นี่คุณต้องปฏิบัติตามกฎบางประการ: ทันทีที่แนวคิดปรากฏว่าคุณประเมินว่ายอมรับได้ คุณจะต้องบันทึกมันลงในสื่อวัสดุใด ๆ มิฉะนั้นในระหว่างการค้นหาครั้งต่อไปจะถูก "ลบ" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคุณเขียนแนวคิดของคุณแล้ว คุณก็สามารถคิดต่อไปได้ แต่ถึงเมื่อไหร่ล่ะ? ตามกฎแล้วผู้เขียนไม่ได้ตัดสินใจโดยเจตนาเอง เวลากำลังจะหมด หรือบรรณาธิการกำลังเร่งรีบ หรือมีงานใหม่ และยังมีตัวบ่งชี้วัตถุประสงค์ว่าแผนได้จัดทำขึ้นอย่างถูกต้อง แนวคิดนี้จะมีความเป็นผู้ใหญ่หากชื่อเรื่องถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติและแม่นยำสำหรับข้อความ หากคุณไม่ต้องคิดมากในภายหลัง การปรากฏตัวของชื่อวัสดุในใจเป็นสัญญาณของความพร้อมของแผน เป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนแห่งความเข้าใจ

3. การจัดทำแผนให้เป็นรูปธรรม สำหรับหลายๆ คน การดำเนินการนี้เหมือนกับการจัดทำแผน บางครั้งก็เขียน บางครั้งก็พูด ตัวอย่างเช่น Anatoly Abramovich Agranovsky ปรมาจารย์ด้านสื่อสารมวลชนรัสเซียที่มีชื่อเสียงมักจะเริ่มทำงานกับเนื้อหาโดยจัดทำแผน ครั้งหนึ่งเขาถูกถามว่าเขาปฏิบัติตามแผนที่เขียนไว้เสมอหรือไม่ “ ไม่” Agranovsky ตอบ“ จากนั้นแผนอาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่ฉันเริ่มต้นไม่ได้ถ้าไม่มี...” การประเมินแผนดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าแรงจูงใจไม่ได้อยู่ในขอบเขตของการจัดระเบียบข้อความ (แผนไม่ได้ใช้เป็นกรอบ) แต่ส่วนใหญ่อยู่ในขอบเขตของการจัดระเบียบ กระบวนการสร้างสรรค์ ทำไมคุณต้องมีแผนในกรณีนี้? ความจริงก็คือแผนในทางจิตวิทยาช่วยให้รู้สึกถึงขอบเขตของข้อความ - บนแผ่นงานในบรรทัด แผนยังระบุด้วยว่ากระบวนการสร้างข้อความได้ก้าวไปข้างหน้าแล้ว จิตสำนึกของเราไม่อาจทำงานตามรูปแบบความคิดได้เป็นเวลานาน แผนมักเป็นโครงสร้างหลายระดับ และจิตสำนึกสามารถยึดเกณฑ์ที่ซับซ้อนได้เพียงสามเกณฑ์เท่านั้น ความซับซ้อนสามระดับ

อีกวิธีหนึ่งในการทำให้แผนเป็นรูปธรรมคือโครงร่างขั้นสูงเมื่อไม่ได้ระบุหัวข้อย่อยของข้อความ (เช่นเดียวกับในแผน) แต่เป็นแนวคิดย่อยของบล็อกข้อความ ตัวอย่างเช่นจาก Agranovsky เดียวกัน: "การลดลง...เครื่องบิน"

ลองนึกถึงการเปรียบเทียบที่ไม่คาดคิดนี้ อย่างไรก็ตาม หมายเหตุ: อุปกรณ์นั้นเป็นกลไก เรามุ่งมั่นที่จะปรับปรุงกลไกทางเศรษฐกิจ”

การสรุปขั้นสูงดังกล่าวมักจะถูกร่างขึ้นเมื่อนักข่าวเจาะลึกเข้าไปในปัญหาในขณะที่เขาคุ้นเคยกับเนื้อหาแล้ว เขาอาจจะมี ความคิดและความคิดเห็นได้รับการพัฒนาแล้วที่อาจลืมได้

ส่วนใหญ่แล้วจะใช้การผสมผสานระหว่างแผนและโครงร่างขั้นสูง เมื่อมีการขยายเฉพาะจุดของแผนซึ่งมีการสร้างแนวคิดไว้แล้วเท่านั้น

บางครั้งนักข่าวก็ทำการบันทึกแบบโมเสก โดยเขียนบางส่วนโดยละเอียด และปล่อยให้ส่วนที่เหลือของงานได้รับการแก้ไข สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อใช้วิธีนำในเรื่องข่าว (บันทึกเฉพาะโอกาสในการขายเท่านั้น)

4. การเลือกใช้วัสดุ ขั้นตอนนี้อาจตรงกับขั้นตอนก่อนหน้าหรือขนานกัน แต่บ่อยครั้งที่เฟรมแข็งของวัสดุจำเป็นต้องทำงานแยกกัน ผลลัพธ์ของขั้นตอนนี้คือข้อเท็จจริงที่เลือกซึ่งนำไปสู่การนำแนวคิดหลักของเนื้อหาไปใช้

5. การดำเนินการตามแผน ในระหว่างการดำเนินการนี้โครงสร้างของข้อความจะถูกสร้างขึ้น - มีการรวมองค์ประกอบเฉพาะของข้อเท็จจริงรูปภาพมาตรฐานวิธีการนำเสนอองค์ประกอบข้อความ - ความหมายระดับจุลภาคถูกวาดขึ้นการเชื่อมต่อการประกอบจะถูกวาดขึ้นองค์ประกอบและคำศัพท์ ระบุการรวมกันของข้อความและวิดีโอลำดับเสียงจะถูกกำหนด ที่นี่ใช้เครื่องมือสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับประเภทกิจกรรมเฉพาะ และยิ่งชุดเครื่องมือกว้างขึ้น นักข่าวก็จะยิ่งมีข้อจำกัดน้อยลงในการตระหนักถึงความคิดสร้างสรรค์ของเขา

6. การแก้ไขโดยผู้เขียน – การทำงานกับผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ การแก้ไขที่เป็นส่วนประกอบจะรวมอยู่ในขั้นตอนก่อนหน้าด้วย แต่จะต้องได้รับสถานที่และเวลาแยกต่างหาก ในกรณีนี้ เราหมายถึงกระบวนการที่มีสติของกระบวนการสร้างสรรค์ ซึ่งมีลักษณะการควบคุม จำเป็นต้องมีมุมมองภายนอก เนื่องจากความคลาดเคลื่อนไม่เพียงแต่อาจเกิดขึ้นได้จากความตั้งใจของผู้เขียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโปรไฟล์ของสิ่งพิมพ์หรือช่องด้วย ด้วยเนื้อหาที่จะรวมเนื้อหานี้ด้วย แม้ว่าบรรณาธิการจะตรวจสอบข้อความ แต่นักข่าวเองก็จำเป็นต้องแก้ไขให้ชัดเจนที่สุด นี่เป็นเพราะความจริงที่ว่ายิ่งคุณนำเสนอวัตถุดิบต่อบรรณาธิการมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งทำการแก้ไขตามความตั้งใจของเขาเองมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่ของคุณ และสิ่งนี้จะบิดเบือนข้อความในเวอร์ชันสุดท้าย สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า ประการแรกผู้ฟังมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เป็นรายบุคคลและไม่เหมือนใคร ก่อนอื่นเลยสิ่งนี้กระตุ้นความสนใจและประสบการณ์ด้านสุนทรียภาพ ผู้ชมไม่อนุญาตให้ใช้เทมเพลต การเลียนแบบ หรือการคัดลอก ปอนด์. Ermolaeva-Tomina ตั้งชื่อเกณฑ์หลักในการประเมินการสำแดงความคิดสร้างสรรค์:

1. การสะท้อนความเป็นสากลในคอนกรีตจากตำแหน่งใหม่ของแต่ละบุคคล

2. ถ่ายทอดความคิดและทัศนคติสู่ความเป็นจริงในรูปแบบที่คาดไม่ถึงและแม่นยำ

3. การมีอยู่ขององค์ประกอบทั้งหมดที่สอดคล้องกับความต้องการทางจิตวิญญาณขั้นพื้นฐานของบุคคล - ในความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่สำคัญ, สอดคล้องกับโลกที่สวยงาม, ในการปลุกความคิดใหม่ (ความคิดสร้างสรรค์ร่วม)

การแก้ไขทำให้คุณสามารถใช้เกณฑ์เหล่านี้ในเนื้อหาได้ - ชี้แจงสิ่งที่ไม่ชัดเจน เน้นสิ่งที่จำเป็น เน้นสิ่งที่สำคัญ

7. การควบคุมการออกอากาศ (ภายในและภายนอก) ตามกฎแล้วนักข่าวจะดำเนินการโดยไม่สมัครใจและเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์เมื่อนักข่าวถามผู้ชมว่าผลกระทบของเนื้อหาคืออะไรหรือแก้ไขการสนทนาทางอากาศ

นักวิชาการบางคนตั้งข้อสังเกตถึงความคล้ายคลึงกันของการสร้างข้อความกับกระบวนการคลอดบุตรซึ่งนำเราไปสู่ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ดังนั้น A.N. ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หัวหอมเตือนเราถึงสิ่งที่นักจิตวิทยาพูดถึงกลไกของการกำเนิดของความคิด และแพทย์และนักชีววิทยาชาวแคนาดา Hans Selye (ผู้เขียนหลักคำสอนเรื่องความเครียดและกลุ่มอาการการปรับตัวทั่วไป) ได้แบ่งกระบวนการสร้างสรรค์ออกเป็นเจ็ดขั้นตอน คล้ายกับขั้นตอนของกระบวนการสืบพันธุ์:

1. ความรักหรือความปรารถนา เงื่อนไขแรกของความคิดสร้างสรรค์คือความสนใจ ความกระตือรือร้น และความปรารถนาที่จะบรรลุผล ความปรารถนานี้จะต้องมีความกระตือรือร้นเพื่อที่จะเอาชนะความยากลำบากและอุปสรรค

2. การปฏิสนธิ. ไม่ว่านักข่าวจะมีศักยภาพในการสร้างสรรค์มากเพียงใด จิตใจของเขาจะยังคงปลอดเชื้อหากไม่ได้รับการผสมพันธุ์จากความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงเฉพาะที่ได้รับจากการฝึกอบรม การสังเกต และวิธีอื่นในการรับข้อมูล

3. การตั้งครรภ์ ช่วงนี้นักข่าวเกิดไอเดียขึ้นมา ช่วงเวลานี้อาจไม่เกิดขึ้นเป็นเวลานานเช่นเดียวกับการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าก็เร็วความตึงเครียดก็เกิดขึ้น

4. การหดตัวก่อนคลอด เมื่อความคิดมีความเป็นผู้ใหญ่ นักข่าวก็จะรู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกแปลกประหลาดของ "ความใกล้เคียงของการแก้ปัญหา" นี้คุ้นเคยเฉพาะกับผู้สร้างที่แท้จริงเท่านั้น สำหรับผู้ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน วิธีที่ง่ายที่สุดในการจินตนาการถึงความรู้สึกนี้ในสถานการณ์ที่บุคคลหนึ่งจำชื่อใครบางคนอย่างเจ็บปวดได้

5. การคลอดบุตร แตกต่างจากการคลอดบุตรจริงๆ การเกิดแนวคิดใหม่ไม่เพียงแต่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่ยังนำมาซึ่งความสุขและความสุขเสมอ กระบวนการสร้างผลงานเริ่มต้นขึ้น

6. การตรวจสอบและรับรอง ทารกแรกเกิดจะได้รับการตรวจสุขภาพทันที สิ่งนี้ก็เป็นจริงสำหรับแนวคิดแรกเกิดเช่นกัน: จะต้องได้รับการทดสอบเชิงตรรกะและเชิงทดลอง เนื้อหาได้รับการแก้ไขแก้ไข ฯลฯ

7. ชีวิต. หลังจากทดสอบไอเดียแล้ว ไอเดียนั้นก็เริ่มมีชีวิตในผลงานใหม่ น่าเสียดายที่การสื่อสารมวลชนสามารถคงอยู่ได้ไม่นานในฐานะสื่อที่เป็นรูปธรรม แต่ผลกระทบทางสังคมสามารถคงอยู่ได้นานหลายศตวรรษ

ความสอดคล้องระหว่างกระบวนการสร้างสรรค์กับกระบวนการเกิดสามารถอธิบายความหมายที่ผู้สร้างเองกำหนดให้กับความคิดสร้างสรรค์ได้ และสิ่งที่ช่างฝีมือจะไม่มีวันเข้าใจ เช่นเดียวกับที่ผู้ชายจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงที่ให้กำเนิดได้อย่างถ่องแท้ ลูกของเธอ

กระบวนการสร้างสรรค์เป็นกระบวนการที่จุดสนใจหลักของจิตสำนึกและจินตนาการของบุคคลคือการสร้างหรือปรับปรุงบางสิ่งบางอย่าง อันที่จริงแล้ว มันเป็นการกระทำในแต่ละวันของบุคคล โดยจะมีความสำคัญไม่มากก็น้อย สำหรับฉัน คุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความคิดสร้างสรรค์คือการก่อตัวและการพัฒนา และนี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะมุ่งเน้นมากที่สุด แต่จะเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติในภายหลัง

คุณสมบัติหลักของความคิดสร้างสรรค์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะเหตุนี้เองที่เราเรียกมันว่า "ความคิดสร้างสรรค์" และไม่มีอะไรอื่นอีก เอกลักษณ์ให้สิ่งแปลกใหม่ - สิ่งสำคัญในความคิดสร้างสรรค์ หากเรายกบทความนี้เป็นตัวอย่าง มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ แต่ความคิดสร้างสรรค์นั้นแสดงออกไม่เพียงแต่ในการเขียนเท่านั้น แต่ยังปรากฏอยู่ในรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ดนตรี ความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะ วิทยาศาสตร์ (การประดิษฐ์) และอื่นๆ อีกมากมาย

และจริงๆ แล้ว มีการถามคำถามบ่อยแค่ไหน: อะไรคือพื้นฐานของแนวคิดสำหรับผู้สร้าง? พื้นฐานของกระบวนการสร้างสรรค์คืออะไร? มีความลึกลับบางอย่างในกระบวนการสร้างสรรค์นี้

ความหลากหลายเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน: การสร้าง "วัตถุ" ที่สร้างสรรค์ขึ้นอยู่กับโลกภายในของผู้สร้างโดยตรง บ่อยครั้งที่การสร้างสรรค์สามารถอธิบายได้ว่าเป็น "กระแส" ของอนุภาคขนาดเล็กที่รวมตัวกันเป็นชิ้นเดียวและต่อมาก็สร้าง สร้างสรรค์ สร้างสรรค์

มีนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามแบ่งระยะความคิดสร้างสรรค์ออกเป็นระยะ ๆ แต่สำหรับฉัน การแบ่งเช่นนี้มีเพียงสาระสำคัญโดยประมาณเท่านั้น นี่คือตัวอย่างของการเขียนเรียงความนี้อีกครั้ง - โดยสุจริตไม่มีขั้นตอนเหล่านั้น (ขั้นตอนสำหรับ วอลเลซ: การเตรียมการ การฟักตัว ความเข้าใจ การตรวจสอบ) เพียงเพราะมีความสนใจในการเขียน มันก็เข้ามาแทนที่ทั้ง 4 ขั้นตอนนี้ นอกจากนี้ยังมีรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย แต่นี่ไม่ใช่แค่แบบแผนใช่ไหม

ฉันเชื่อว่านี่มีไว้สำหรับคนเหล่านั้นที่ต้องการคำตอบอยู่เสมอ
แต่ “กระแส” นี้มาจากไหน?
กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร?

แน่นอนว่าไม่มีความลับอะไรแบบนั้น กระบวนการสร้างสรรค์ก็คือผลของจิตไร้สำนึกซึ่งในทางกลับกันคือการรวมกันของประสบการณ์ (ซึ่งรวมถึงรายการย่อยมากมาย) และความสามารถ ทักษะ สภาวะทางจิตวิทยาของผู้สร้าง และแน่นอน รสนิยม อย่างไรก็ตาม บางทีอาจมีแรงกระตุ้นทางปัญญาเช่นบุคคลที่ต้องการสร้างสิ่งใหม่และเป็นต้นฉบับศึกษาทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในขณะนี้และมองหาสิ่งที่ดูเหมือนใหม่ด้วยความช่วยเหลือจากการคิดอย่างมีเหตุผล

แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีส่วนใหญ่ นี่คือ "บางสิ่ง" ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวบุคคลและระเบิดออกมาราวกับภูเขาไฟจากส่วนลึกในช่วงเวลาแห่งแรงบันดาลใจซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่ละเอียดอ่อน นี่คือแรงบันดาลใจ (แรงกระตุ้นโดยไม่รู้ตัว) ที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของกระบวนการสร้างสรรค์

นอกจากนี้ แรงผลักดันของความปรารถนาที่จะสร้างในตัวบุคคลอาจเป็นเหตุผลทางสังคม เช่น ความปรารถนาที่จะได้รับชื่อเสียง ความปรารถนาที่จะถูกจดจำ ความปรารถนาที่จะดึงดูดความสนใจ หรือ... ความปรารถนาที่จะค้นหาตัวเอง ความปรารถนาที่จะหลบหนี จากโลกแห่งความจริง ความคิดสร้างสรรค์อาจเป็นคำตอบสำหรับคำถาม หรืออาจเป็นการค้นหาที่ไม่รู้จบ นี่ไม่ใช่คุณลักษณะใช่หรือไม่ ความคิดสร้างสรรค์อาจกลายเป็นที่หลบภัยลึกๆ ที่รกร้าง แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นผลงานยอดนิยมทางวัฒนธรรมทั่วไปด้วย

ทุกคนมีส่วนในการสร้างสรรค์ แต่น่าเสียดายไม่ใช่ทุกคนที่จะค้นพบส่วนนั้นของโลกภายในของตนได้ ท้ายที่สุดมันสามารถแสดงออกได้ไม่เพียง แต่ในสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งธรรมดา ๆ แม้กระทั่งในชีวิตประจำวันด้วย มันเกิดขึ้นที่ผู้คนเองก็ผลักไสแรงกระตุ้นที่สร้างสรรค์ออกไปเพราะความไม่แน่นอนและขาดศรัทธาในตนเอง เพื่อสร้างเป้าหมาย ความฝัน และตระหนักถึงมันเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อสร้างแก่นแท้ เพื่อสร้างบุคคลในตัวเอง - นี่ไม่ใช่ความคิดสร้างสรรค์ใช่ไหม

ที่จริงแล้ว การใช้ชีวิตเป็นตัวอย่างเบื้องต้นของกระบวนการสร้างสรรค์ วิธีที่บุคคลค้นหาทางออกจากสถานการณ์ต่างๆ และปรับตัวให้เข้ากับ "ตัวแปร" อาจเป็นไปได้ทุกวันที่คน ๆ หนึ่งพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่มีการเปิดเผยความสามารถเชิงสร้างสรรค์ของเขาแม้ว่าจะไม่ดีพอก็ตาม

กระบวนการสร้างสรรค์ประเภทพิเศษคือ “การคิดเชิงวิพากษ์” การคิดอย่างมีวิจารณญาณคือความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองหรือรูปแบบที่แตกต่างกัน ทักษะดังกล่าวน่าจะมีประโยชน์มากในกิจกรรมของมนุษย์ทุกประเภท เนื่องจากเป็นพื้นฐานสำหรับการเคลื่อนไหวและการพัฒนาไปข้างหน้า

หากเราใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นภาพสะท้อนของโลกภายในของบุคคลเราจะไม่มีวันเข้าใจมันเราจะอยู่ใกล้ ๆ เสมอพยายามหาคำอธิบายที่จะขอบเขตการรับรู้ของเรา ในตัวอย่างนี้ เราสามารถติดตามความคลุมเครือของ "ความคิดสร้างสรรค์" สมัยใหม่ได้ วลี “เราจะไม่มีวันเข้าใจ” และสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้เป็นการสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับวลีนี้ การค้นหาความหมายหรือความไร้สาระของวลีนั้นก็เป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์เช่นกัน ตามลำดับ ผลลัพธ์ - การวิจารณ์หรือการอนุมัติคือ ผลลัพธ์ทั่วไปของการคิดสร้างสรรค์

ในความเป็นจริง อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการสร้างสรรค์เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ในตอนแรกเราอาจเพิ่ม (เข้าไปในคำนี้) ว่าบุคคลนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า "แง่มุม" ของการคิด โชเปนเฮาเออร์เรียกสิ่งนี้ว่า "การคิดฝ่ายเดียว" แก่นแท้ของการคิดดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่การรับรู้โลก สิ่งต่างๆ ด้วยความช่วยเหลือจากสามัญสำนึกเท่านั้น (ซึ่งก็คือ "การคิดฝ่ายเดียว" เช่นกัน) ในกรณีนี้ ความคิดสร้างสรรค์สูญเสียความสำคัญและน่าเบื่อหน่ายในจิตใจของมนุษย์

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นคุณสมบัติ กระบวนการสร้างสรรค์กระบวนการนี้เองจะมีความพิเศษในตอนแรก การเขียนเรียงความเป็นเรื่องพิเศษ และการอ่านและแก้ไขจะเป็นเรื่องพิเศษ

คำถามเกิดขึ้น: การรับรู้เป็นกระบวนการสร้างสรรค์หรือไม่? ความคิดเห็นอาจแตกต่างกันอย่างเด็ดขาดเนื่องจากแนวคิดหลักของความคิดสร้างสรรค์คือการสร้างหรือการปรับปรุง แต่ด้วยการรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จิตสำนึกของเราจะสร้าง “ภาพ” ขึ้นมา (โดยภาพ ฉันหมายถึงภาพแห่งจิตใต้สำนึก นี่อาจเป็นความคิดเห็นก็ได้) ปล่อยให้ภาพมีการประเมินเชิงบวกหรือเชิงลบ แต่ถูกสร้างขึ้นตามกระแสเฉพาะตัวของบุคคล

ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร และประกอบด้วยขั้นตอนใดบ้าง ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร และมีความสามารถอะไรบ้าง ปัญหาและผลลัพธ์ของความคิดสร้างสรรค์คืออะไร และผลที่ตามมาของกิจกรรมสร้างสรรค์คืออะไร

ใช้ในกระบวนการสร้างสรรค์ จินตนาการเพื่อผสมผสานความรู้และแนวคิดที่มีอยู่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

ผลลัพธ์ที่ได้อนุญาต ตัดสินใจปัญหาเฉพาะและ เข้าถึงตั้งเป้าหมาย ดังนั้นผลลัพธ์ดังกล่าวจึงมีความสำคัญเพิ่มเติมซึ่งขาดไปจากผลลัพธ์ของกิจกรรมภาคปฏิบัติซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคือการสร้างสำเนา

มีความคิดสร้างสรรค์เป็นคน กลโกงทั้งสิ่งแวดล้อมและตัวคุณเอง เขามีโอกาสใหม่ๆ ที่ทำให้เขาได้รับผลประโยชน์และพัฒนามากยิ่งขึ้น

ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งจำเป็นในทุกด้าน สาขาวิชาในทุกอาชีพ ทุกพื้นที่มีปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขและมีศักยภาพในการพัฒนามหาศาล

เพื่อสนับสนุนกระบวนการสร้างสรรค์บุคคลจะต้องมีความดี สภาพร่างกาย- คุณไม่สามารถกินอาหารขยะ แอลกอฮอล์ ควัน ฯลฯ และเล่นกีฬาให้มากที่สุด สิ่งนี้ช่วยให้คุณได้รับสารอาหารที่จำเป็นแก่สติปัญญาและจำกัดไม่ให้เกิดผลร้าย

เขาศึกษาความคิดสร้างสรรค์ ฮิวริสติก- หน้าที่หลักคือการสร้างแบบจำลองที่อธิบายกระบวนการแก้ไขปัญหาดั้งเดิม

ต่อไปนี้เป็นที่รู้กันในปัจจุบัน โมเดลการศึกษาพฤติกรรม:
- ค้นหาคนตาบอด: จากการลองผิดลองถูก;
- เขาวงกต: ปัญหาถูกนำเสนอเป็นเขาวงกต และวิธีแก้ปัญหาของมันคือการเคลื่อนที่ผ่านเขาวงกตเพื่อหาทางออก
- โครงสร้างความหมาย: ปัญหาถูกนำเสนอเป็นระบบที่มีโครงสร้างบางอย่างและการเชื่อมต่อเชิงความหมายระหว่างองค์ประกอบต่างๆ

ในกระบวนการของกิจกรรมสร้างสรรค์ บางครั้งจำเป็นต้องดำเนินการตามอัลกอริทึมและชัดเจน การคำนวณ- ในกรณีนี้คุณต้องใช้ความช่วยเหลือของระบบคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาแล้วซึ่งช่วยให้คุณสามารถคำนวณเหล่านี้ได้ บุคคลต้องมีส่วนร่วมในการคิดแบบฮิวริสติกที่สร้างสรรค์

ในชีวิตประจำวัน ความคิดสร้างสรรค์แสดงออกมาเป็น เข้าใจ- ความสามารถในการหาทางออกจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังและวิกฤตในบางครั้งอย่างกล้าหาญ ไม่ไร้สาระ และมีไหวพริบ โดยใช้วิธีการที่จำกัดและไม่เฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง

ความคิดสร้างสรรค์ช่วยให้คุณเป็นได้มากขึ้น อ่อนไหวปัญหาการขาดหรือความไม่สอดคล้องกันของความรู้ สิ่งนี้ช่วยให้คุณกำหนดทิศทางที่จำเป็นในการพัฒนาเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาที่ทราบและบรรลุเป้าหมายบางอย่างได้

เพราะ องค์ประกอบหลักที่รับผิดชอบในการสร้างความคิดริเริ่มคือ จินตนาการจากนั้นเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์คุณสามารถใช้การฝึกเพื่อพัฒนาจินตนาการได้

ความสามารถในการสร้างสรรค์

ความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วยชุดของความสามารถ ช่วยให้คุณเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าความคิดสร้างสรรค์แสดงออกอย่างไรและสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนา

ความสามารถเหล่านี้ได้แก่:

ความคล่องแคล่วคือความสามารถในการสร้างไอเดียจำนวนมากต่อหน่วยเวลา ช่วยให้คุณค้นหาวิธีการต่างๆ ในการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด

ความคิดริเริ่ม- นี่คือความสามารถในการสร้างแนวคิดใหม่ที่ไม่ได้มาตรฐานและพิเศษที่แตกต่างจากที่ทราบหรือชัดเจน ยิ่งความสามารถนี้ได้รับการพัฒนาดีขึ้นเท่าใด ความเฉื่อยทางจิตวิทยาที่จำกัดการคิดตามรูปแบบมาตรฐานและโน้มน้าวให้ความคิดดั้งเดิมนั้นไม่เป็นจริงและไร้ประโยชน์ก็จะยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น

ความยืดหยุ่นคือความสามารถในการใช้วิธีการต่างๆ เพื่อสร้างแนวคิดใหม่ๆ และสลับระหว่างวิธีการและแนวคิดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ความเปิดกว้าง- นี่คือความสามารถในการแก้ปัญหาในการรับรู้ข้อมูลใหม่จากภายนอกเป็นเวลานานแทนที่จะใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่และไม่ยึดติดกับแบบแผนมาตรฐาน

ความอ่อนแอ- คือความสามารถในการค้นหาความขัดแย้ง รายละเอียดที่ผิดปกติ และความไม่แน่นอนในสถานการณ์ปกติ ช่วยให้คุณค้นพบความพิเศษในความธรรมดา ความเรียบง่ายในความซับซ้อน

ภาพ- นี่คือความสามารถในการสร้างความคิดในรูปแบบของภาพจิตที่เป็นหนึ่งเดียว

ความเป็นนามธรรมคือความสามารถในการสร้างแนวคิดทั่วไปที่ซับซ้อนโดยอาศัยองค์ประกอบเฉพาะที่เรียบง่าย ช่วยให้คุณสามารถสรุปและสร้างการนำเสนอปัญหาที่เป็นหนึ่งเดียวโดยอาศัยความรู้และแนวคิดที่เรียบง่ายและไม่เกี่ยวข้อง

รายละเอียดคือความสามารถในการระบุรายละเอียดปัญหาจนกว่าจะเข้าใจแต่ละองค์ประกอบ ช่วยให้คุณสามารถแยกปัญหาออกเป็นส่วนๆ วิเคราะห์ได้จนกว่าแก่นแท้ของปัญหาซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เล็กที่สุดจะชัดเจน

วาจา- นี่คือกระบวนการในการทำลายแนวคิดที่เป็นรูปเป็นร่างเพียงแนวคิดเดียวให้เป็นคำแยกจากกัน และเน้นส่วนที่สำคัญ ช่วยให้คุณชี้แจงโครงสร้างของปัญหาและความเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบต่างๆ และแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้กับผู้อื่นเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา

ต้านทานความเครียดคือความสามารถในการดำเนินการและสร้างแนวคิดในสภาพแวดล้อมใหม่ที่ไม่ธรรมดาและไม่มีใครรู้จักมาก่อน

การระบุความสามารถเหล่านี้ในตัวคุณเองและการพัฒนาอย่างมีสติสามารถเพิ่มความสร้างสรรค์และประโยชน์ของแนวคิดที่สร้างขึ้นได้อย่างมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสำเร็จและเร่งกระบวนการบรรลุวัตถุประสงค์ของคุณ

กระบวนการสร้างสรรค์และขั้นตอนของมัน

ความคิดสร้างสรรค์มีแน่นอน กระบวนการสร้างสรรค์ทำซ้ำทุกครั้งที่ได้รับผลลัพธ์ที่ไม่ซ้ำใคร

แก่นแท้ของความคิดสร้างสรรค์คือการใช้พรสวรรค์และจินตนาการส่วนบุคคลในการแก้ปัญหา บรรลุเป้าหมาย และบรรลุวัตถุประสงค์ ผลลัพธ์ของกระบวนการสร้างสรรค์คือองค์ประกอบใหม่ที่ไม่ซ้ำใครที่ช่วยปรับปรุงผู้สร้างหรือสภาพแวดล้อม และมอบความเป็นไปได้ใหม่ๆ

กระบวนการสร้างสรรค์ประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้:

1. การเตรียมการ

ปัญหาถูกกำหนดขึ้นและมีความตั้งใจที่จะแก้ไขเกิดขึ้น สติเต็มไปด้วยความรู้จากแหล่งต่างๆ ที่มีอยู่ (ความทรงจำ หนังสือ นิตยสาร อินเตอร์เน็ต...) สมมติฐานและสมมติฐานถูกหยิบยกขึ้นมา ในระยะเวลาอันสั้น มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาตามความสามารถที่มีอยู่ของจิตสำนึก

2. การประมวลผล

หากโอกาสไม่เพียงพอ ก็จะเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจชั่วคราวไปสู่ปัญหาหรือเรื่องอื่น ในเวลานี้ การแก้ปัญหาคือการประมวลผลจากจิตสำนึกไปสู่จิตใต้สำนึก กระบวนการจิตใต้สำนึกเริ่มเกิดขึ้น โดยที่มนุษย์มองไม่เห็น และสร้างแนวคิดใหม่โดยอัตโนมัติ จนกว่าจะได้รับวิธีแก้ปัญหาที่ยอมรับได้

3. แรงบันดาลใจ

หลังจากสร้างความคิดที่อาจช่วยแก้ปัญหาได้ ความคิดนั้นก็ถูกถ่ายทอดจากจิตใต้สำนึกไปสู่จิตสำนึก - แรงบันดาลใจก็ปรากฏขึ้น โดยปกติแล้วสิ่งนี้จะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดโดยสิ้นเชิงสำหรับจิตสำนึกและในสถานการณ์สุ่มอย่างสมบูรณ์

4. การประเมินผล

เมื่อได้รับความคิดแล้ว จิตสำนึกจะประเมินความเป็นไปได้ที่จะใช้มันเพื่อแก้ไขปัญหา โดยจะวิเคราะห์และเปรียบเทียบแนวคิดกับประสบการณ์ส่วนตัว และพิจารณาว่าจะสามารถนำไปปฏิบัติภายใต้สภาพแวดล้อมปัจจุบันได้หรือไม่

5. การนำไปปฏิบัติ

หากไม่พบความขัดแย้ง ก็จะมีการตัดสินใจนำแนวคิดดังกล่าวไปปฏิบัติ มีการจัดทำแผนปฏิบัติการและดำเนินการจริง ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องมือ วิธีการ หรือเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ปัญหาเดิมได้

6. ตรวจสอบ

หลังจากนำแนวคิดไปปฏิบัติและนำผลลัพธ์ที่ได้ไปใช้แล้ว จะมีการตรวจสอบว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่ มีการพิสูจน์หรือการหักล้างสมมติฐานและสมมติฐานที่ยกมา หากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข กระบวนการจะเริ่มต้นใหม่ หากปัญหาได้รับการแก้ไข ปัญหาต่อไปก็จะได้รับการแก้ไข

ระยะจิตใต้สำนึกของกระบวนการสร้างสรรค์

สถานที่พิเศษในกระบวนการสร้างสรรค์ตรงบริเวณ ขั้นตอนการประมวลผลปัญหา. ลักษณะเฉพาะของมันคือการแก้ปัญหานั้นดำเนินการโดยบุคคลที่มีความสามารถพิเศษของเขาโดยไม่มีใครสังเกตเห็นอย่างแน่นอน - จิตใต้สำนึก.

ความเกียจคร้านและความตั้งใจที่อ่อนแอ- นอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้คุณเริ่มกระบวนการสร้างสรรค์และเอาชนะความเฉื่อยทางจิตวิทยา เพื่อเอาชนะสิ่งเหล่านี้ คุณต้องฝึกวินัยในตนเอง

ขาดการจัดลำดับความสำคัญ- ในกระบวนการคิดเชิงสร้างสรรค์ มีการสร้างแนวคิดจำนวนมากที่ต้องนำไปปฏิบัติ บางอย่างมีความสำคัญและมีประโยชน์ในการแก้ปัญหา พวกเขาจำเป็นต้องดำเนินการก่อน ส่วนอย่างอื่นสำคัญน้อยกว่าก็ต้องเลื่อนออกไปทีหลังจึงเข้าคิว แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดความสำคัญของแนวคิด แต่เป็นลำดับความสำคัญของพวกเขา และพวกเขาพยายามนำแนวคิดที่เรียบง่ายแต่มีประโยชน์น้อยลงไปใช้ เพื่อเอาชนะอุปสรรคนี้ คุณต้องเรียนรู้ที่จะจัดลำดับความสำคัญของความคิด เป้าหมาย และกิจกรรมต่างๆ

ความแออัดของสติ- หลังจากเติมจิตสำนึกด้วยความรู้ที่เป็นไปได้ทั้งหมดที่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้แล้ว จะต้องได้รับอนุญาตให้พักผ่อนและผ่อนคลาย แต่บ่อยครั้งที่สิ่งนี้ไม่เสร็จสิ้นและเริ่มมีการใช้สติเพื่อแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ความแออัดทางจิตที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดอัตราการสร้างความคิด เพื่อเอาชนะอุปสรรคนี้ คุณต้องหยุดพักอย่างมีสติเพื่อเร่งกระบวนการสร้างสรรค์

ความสอดคล้อง- ยอมรับความคิดเห็นและประสบการณ์ของผู้อื่นโดยไม่มีการวิจารณ์หรือวิเคราะห์ ลักษณะบุคลิกภาพนี้โดดเด่นด้วยการตกลงกับทุกสิ่งที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม โดยไม่ต้องประเมินว่าถูกหรือผิด ไม่ว่าจะเหมาะสมที่สุดหรือสามารถปรับปรุงได้หรือไม่. เพื่อเอาชนะอุปสรรคนี้ คุณต้องพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณ คุณต้องเข้าถึงทุกสิ่งใหม่ๆ ด้วยคำถามว่า “ทำไม ทำไม เพื่ออะไร …”

ใจร้อน- บุคคลต้องการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาทันที แต่สิ่งนี้ต้องใช้แหล่งข้อมูลจำนวนมาก (ความรู้ แนวคิด) และการพัฒนาทางปัญญาในระดับสูง แต่เมื่อไม่พบวิธีแก้ไขในช่วงเวลาสั้น ๆ บุคคลนั้นก็หยุดแก้ไขปัญหานี้และเปลี่ยนไปใช้ปัญหาอื่นที่ง่ายกว่า เพื่อเอาชนะอุปสรรคนี้ คุณต้องฝึกวินัยในตนเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเพียรพยายาม

ความแข็งแกร่ง- ความหนักแน่นและแน่วแน่ในวิถีทางที่ใช้ในการตัดสินใจและบรรลุเป้าหมาย จำกัดบุคคลไม่ให้ใช้วิธีการใหม่ที่อาจมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้มากขึ้น เพื่อเอาชนะอุปสรรคนี้ คุณต้องพัฒนาความยืดหยุ่นในการคิด เรียนรู้เกี่ยวกับการเกิดขึ้นของเครื่องมือใหม่ๆ และนำไปใช้ในการแก้ปัญหาและบรรลุเป้าหมาย

การกำจัดอุปสรรคเหล่านี้รับประกันว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพและความสำเร็จของกิจกรรมสร้างสรรค์ สิ่งนี้จะช่วยเร่งกระบวนการบรรลุวัตถุประสงค์ของคุณ

ประเภทของผลงานสร้างสรรค์

จากกิจกรรมสร้างสรรค์ ระบบใหม่จะถูกสร้างขึ้นหรือระบบที่มีอยู่ได้รับการปรับปรุง ตามประโยชน์ที่ได้รับ ผลลัพธ์เหล่านี้แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้

กำลังเปิด

การค้นพบกฎหมาย ระบบ คุณลักษณะ หรือการเชื่อมต่อที่ไม่รู้จักก่อนหน้านี้ ได้รับการยืนยันจากการทดลอง มีผลการปฏิวัติต่อการพัฒนาระบบและเปลี่ยนแปลงเป้าหมายและกระบวนทัศน์ที่มีอยู่

สิ่งประดิษฐ์

วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะและบรรลุเป้าหมายบางอย่าง นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณดำเนินการบางอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้วิธีการที่มีอยู่ และมีโครงสร้างพื้นฐานใหม่

ข้อเสนอการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง

การปรับปรุงประสิทธิผลของวิธีการที่มีอยู่ในการบรรลุเป้าหมายโดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างอย่างมีนัยสำคัญ

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นประเภทใดก็ตาม ความคิดสร้างสรรค์ก็สร้างขึ้นได้ ความรู้ใหม่ช่วยให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่คล้ายกันและบรรลุเป้าหมายที่คล้ายกันในด้านอื่น ๆ ผลลัพธ์ใหม่ก็จะได้รับเช่นกัน แนวคิดสำหรับความคิดสร้างสรรค์เพื่อแก้ไขปัญหาใหม่และบรรลุเป้าหมายใหม่

ผลที่ตามมาจากการทำกิจกรรมสร้างสรรค์

การนำความคิดสร้างสรรค์มาปฏิบัติสามารถปรับปรุงได้ เสี่ยงก่อให้เกิดอันตราย สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีประสบการณ์ไม่เพียงพอในการใช้แนวคิดและเครื่องมือใหม่ที่ยังไม่ผ่านการทดสอบเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหรือบรรลุเป้าหมาย แต่ด้วยประสบการณ์และการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ความเข้าใจจะเกิดขึ้นว่าแนวคิดดั้งเดิมใดมีประโยชน์และสิ่งใดเป็นอันตราย

ด้วยการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ปรากฏขึ้น ศรัทธาความจริงที่ว่าสิ่งใด ๆ แม้แต่ความคิดที่ไร้สาระและไม่สมจริงที่สุดก็จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ ความเชื่อนี้เป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่ผลักดันให้เกิดการนำแนวคิดปฏิวัติไปใช้และการสร้างระบบใหม่ขนาดใหญ่ที่แก้ปัญหาระดับโลก ดังที่เฮนรี่ ฟอร์ดกล่าวไว้ว่า: " คุณสามารถเชื่อว่าคุณทำได้ คุณอาจเชื่อว่าคุณไม่สามารถ ในทั้งสองกรณีคุณพูดถูก".

คนที่ประสบความสำเร็จหลายคนอ้างว่า สำเร็จ 30-50%โครงการและบริษัทของพวกเขาถูกนำมาใช้อย่างแม่นยำด้วยความคิดสร้างสรรค์และความคิดริเริ่มที่สร้างขึ้นเองหรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการว่าจ้างเป็นพิเศษและมีความคิดสร้างสรรค์ที่ได้รับการพัฒนาอย่างดี พวกเขายังสังเกตเห็นวงจรอุบาทว์ - ความคิดสร้างสรรค์ทำให้เกิดความสำเร็จครั้งใหม่ และในทางกลับกัน พวกเขาก็เป็นแหล่งของความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจ นี่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์และความคิดสร้างสรรค์เป็นหนึ่งเดียวที่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากไม่มีกันและกัน

ดังนั้นจงอุทิศเวลาส่วนตัวให้สม่ำเสมอ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการสร้างสรรค์ของคุณ สิ่งนี้จะส่งผลดีต่อความสำเร็จเสมอ อย่าหยุดทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เพราะมันเป็นหนทางหลักในการบรรลุชะตากรรมของคุณ

ส่งผลงานดีๆ ของคุณในฐานความรู้ได้ง่ายๆ ใช้แบบฟอร์มด้านล่าง

นักศึกษา นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา นักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ที่ใช้ฐานความรู้ในการศึกษาและการทำงาน จะรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

โพสต์เมื่อ http://www.allbest.ru/

กระบวนการสร้างสรรค์และหลักการของมัน

กิน. เรนดาโควา

โลกปัจจุบันซึ่งมีความสมดุลที่เปราะบางนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง โดยองค์ประกอบที่สำคัญมากคือการที่มนุษย์ดึงดูดธรรมชาติตามธรรมชาติของเขา ไปสู่โอกาสที่จะได้อยู่ท่ามกลางคนที่มีความคิดสร้างสรรค์

ทุกวันนี้ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในโลกให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ และเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างไร ในเรื่องนี้ปัญหาหลักประการหนึ่งคือปัญหาการตัดสินใจของมนุษย์ปัญหาความเป็นไปได้ของการเคลื่อนไหวในความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจด้านขั้นตอนของความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงปัจจัยพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์ด้วย

กระบวนการสร้างสรรค์คือการเปลี่ยนจากแก่นแท้ของความคิดสร้างสรรค์หนึ่งไปยังอีกส่วนหนึ่ง จากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่ง นี่คือการเคลื่อนไหวในพื้นที่สร้างสรรค์ของกิจกรรมทางจิตที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาบุคลิกภาพ

กระบวนการสร้างสรรค์คือกระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลง การสร้างสรรค์ การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกของบุคคลและมนุษยชาติ

ในบรรดาหลักการที่เป็นพื้นฐานพื้นฐานของกระบวนการสร้างสรรค์ เราเน้นย้ำสิ่งต่อไปนี้

หลักการของความหลงใหล L.N. Gumilyov เชื่อว่าการค้นพบพลังงานชีวเคมีของสิ่งมีชีวิตที่ทำโดย V.I. Vernadsky สามารถขยายไปถึงผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวมณฑลด้วย นักวิจัยเขียนว่าโครงการของการสร้างชาติพันธุ์เป็นกระบวนการที่ไม่ต่อเนื่องสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นอย่างกะทันหันของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลงใหลภายในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง การแพร่กระจายออกไปนอกขอบเขตในเวลาต่อมา การสูญเสียความซับซ้อนของระบบชาติพันธุ์ และการกระจายตัวของปัจเจกบุคคล ที่ประกอบขึ้นหรือแปรสภาพเป็นพระธาตุ

เพื่อตีความตำแหน่งนี้ L.N. Gumilyov ใช้การเปรียบเทียบต่อไปนี้: “ลองจินตนาการถึงลูกบอลที่ได้รับการผลักอย่างกะทันหัน พลังงานของการผลักถูกใช้ไปในการเอาชนะความเฉื่อยของการหยุดนิ่งก่อน จากนั้นจึงไปกับการเคลื่อนที่ของลูกบอล ซึ่งจะค่อยๆ จางหายไปเนื่องจากความต้านทานของตัวกลางจนกว่าลูกบอลจะหยุด เส้นทางของลูกบอลนี้จะขึ้นอยู่กับว่ามันกลิ้งบนพื้นราบหรือชนสิ่งกีดขวางหรือตกหลุม ฯลฯ แต่ไม่ว่าเราจะทำซ้ำกี่ครั้งก็ตามหลักการเคลื่อนไหวก็เหมือนเดิม - ความเฉื่อยของ การผลักดัน กล่าวคือ สิ้นเปลืองพลังงานของแรงกระตุ้นที่ได้รับ"

ดึงความสนใจไปที่ความจริงที่ว่าในชีวมณฑลปรากฏการณ์ของคำสั่งนี้เรียกว่าการสืบทอดและบอกว่าพวกมันมีความหลากหลายมากในด้านระยะเวลาลักษณะและผลที่ตามมานักวิทยาศาสตร์ดึงความสนใจไปที่ความจริงที่ว่าพวกมันทั้งหมดมีความคล้ายคลึงกันที่กำหนดไว้ - ความเฉื่อย ซึ่งในมนุษย์แสดงตนว่าเป็นการสิ้นเปลืองของแรงกระตุ้นกิเลสตัณหา ซึ่งทำให้มนุษยชาติคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์อื่นๆ ของชีวมณฑล ในขณะที่โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของมนุษย์เท่านั้นมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน

โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการศึกษาในฐานะหน่วยชาติพันธุ์ที่มีลำดับสูงกว่าซึ่งข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ได้รับการชดเชยร่วมกันโดยเข้าใจว่าการคำนวณความหลงใหลของคนในยุคก่อนนั้นยากเพียงใด L. N. Gumilyov เสนอให้ใช้ขบวนความคิดย้อนกลับ กล่าวคือ “งานที่ดำเนินการโดยกลุ่มชาติพันธุ์นั้นแปรผันโดยตรงกับระดับความตึงเครียดในอารมณ์ ด้วยเหตุนี้ โดยการนับจำนวนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ แม้ว่าจะมีความอดทนสูง เราก็จะได้ผลลัพธ์ของการใช้พลังงาน ซึ่งเราสามารถตัดสินประจุเริ่มต้นของพลังงานได้ ซึ่งก็คือระดับของความหลงใหล ”

พูดคุยเกี่ยวกับความหลงใหลอย่างต่อเนื่องผู้วิจัยเน้นย้ำถึงลักษณะเฉพาะของพวกเขา:

การอุทิศตนเพื่อเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ดำเนินไปตลอดชีวิต

ความสามารถในการแพร่เชื้อผู้อื่นด้วยพลังงานของคุณ

“ซึ่งหมายความว่าคนที่มีความสามัคคี (และหุนหันพลันแล่นมากขึ้น) เมื่อพวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ใกล้กับผู้หลงใหลในความรัก ก็เริ่มประพฤติตนราวกับว่าพวกเขามีความหลงใหล แต่ทันทีที่ระยะห่างที่เพียงพอแยกพวกเขาออกจากผู้หลงใหล พวกเขาก็จะมีรูปลักษณ์ที่เป็นธรรมชาติตามชาติพันธุ์ทางจิตในชีวิตประจำวัน”

หากสถานการณ์นี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในกิจการทหารโดยปราศจากความเข้าใจเป็นพิเศษ โดยที่พวกเขาเลือกผู้หลงใหล จดจำพวกเขาโดยสัญชาตญาณ และสร้างหน่วยช็อกที่เลือกจากพวกเขา หรือจงใจแยกย้ายกันไปในหมู่มวลชนเพื่อปลุกเร้า "จิตวิญญาณทหาร ” แล้วอย่านำข้อเท็จจริงนี้มาพิจารณาในกระบวนการสอนจะไร้เหตุผล

เราเชื่อว่าหลักการของความหลงใหลเป็นหนึ่งในหลักการหลักในกระบวนการสร้างสรรค์ เนื่องจาก "พลังผลักดัน" ของบุคคลที่สร้างสรรค์มีความสำคัญมาก และถ้าเราใช้วิธีการของ L.N. Gumilyov และใช้วิธีคิดแบบย้อนกลับ เราจะพบว่าการค้นพบทางการสอนทั้งหมด ระบบการสอนที่เป็นนวัตกรรมใหม่ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลที่กระตือรือร้น คุณสามารถตั้งชื่อพวกเขาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด: โสกราตีส, เพลโต, อริสโตเติล, J. A. Komensky, I. G. Pestalozzi, J. Korczak, S. Frenet, K. D. Ushinsky, S.T. Shatsky, A. S. Makarenko, V. A. Sukhomlinsky, V. N. Soroka-Rosinsky, V. A. Karakovsky, A. N. Tubelsky และอื่น ๆ อีกมากมาย

ตามระดับของการสำแดง เราแยกแยะความหลงใหลได้สองประเภท: ชัดเจนและซ่อนเร้น

ความหลงใหลที่ชัดเจนปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว: การปรากฏตัวของบุคลิกภาพที่หลงใหลในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตที่สร้างสรรค์ของผู้ที่อยู่ในนั้นเกือบจะในทันที ในขณะเดียวกันก็มีการดำเนินโครงการที่มีเอกลักษณ์ที่สุด ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นจริงไม่เพียงแต่โดยตัวเขาเองที่มีความหลงใหลในระดับสูงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่อยู่ใกล้เธอด้วยเนื่องจาก "การติดเชื้อพลังงาน" เกิดขึ้น บุคลิกภาพที่กระตือรือร้นช่วยปรับปรุงคุณภาพพื้นที่อยู่อาศัยของทุกคนที่โต้ตอบกับมันอย่างมีนัยสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม

ความหลงใหลที่ซ่อนเร้นอาจไม่รู้สึกได้ในทันที เนื่องจากบุคคลที่อาจครอบครองมันจะแสดงความแข็งแกร่งของตนหลังจากสะสมความหลงใหลบางอย่างไว้ (ประสบการณ์) เท่านั้น

ขึ้นอยู่กับระดับของการกระจาย เรากำหนดความหลงใหลทั้งทางตรงและทางอ้อม

ความหลงใหลโดยตรงคือความหลงใหลในบุคคลที่เป็นผู้นำ ซึ่งส่วนใหญ่กำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของทีมตลอดจนคุณภาพของการเคลื่อนไหวนี้

ความหลงใหลทางอ้อม (สะท้อนกลับ) เป็นผลพวงที่ตามมาของการกระทำ กล่าวคือ ความหลงใหลในบุคคลที่ได้รับข้อกล่าวหาบางอย่างจากตัวแทนประเภทแรก ซึ่งในรูปแบบที่สะท้อนกลับจะอ่อนแอกว่าในกรณีแรกมาก แต่ยังคงอยู่ตรงนั้น . ยิ่งห่างไกลจากสถานที่ที่บุคคลที่มีความหลงใหลโดยตรงสร้างขึ้น การกระทำก็จะยิ่งอ่อนแอลงอย่างมาก แต่ถึงแม้ข้อความสร้างสรรค์ที่อ่อนแอมากแม้แต่น้อยก็สามารถมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การพัฒนาของทั้งบุคคลและสังคม

ในหนังสือของ I. Prigogine และ I. Stengers "Time, Chaos, Quantum" มีบรรทัดที่ยืนยันความคิดข้างต้น: "ตอนนี้เรารู้แล้วว่าสังคมมนุษย์เป็นระบบที่ซับซ้อนผิดปกติซึ่งสามารถเกิดการแยกไปสองทางจำนวนมากซึ่งได้รับการยืนยันแล้ว โดยวัฒนธรรมต่างๆ มากมายที่พัฒนาขึ้นในช่วงเวลาอันสั้นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เรารู้ว่าระบบที่ซับซ้อนดังกล่าวไวต่อความผันผวนอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้เรามีความหวังและความวิตกกังวล: ความหวังว่าแม้แต่ความผันผวนเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถทำให้โครงสร้างทั้งหมดรุนแรงขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้ (โดยเฉพาะหมายความว่ากิจกรรมแต่ละอย่างไม่ได้ถูกกำหนดให้ไร้ความหมายเลย) ตื่นตระหนกเพราะโลกของเราสูญเสียการรับประกันกฎหมายที่มั่นคงและยั่งยืนไปตลอดกาล”

หลักการของสัญลักษณ์ (สัญลักษณ์)

ผู้สร้างมักจะพูดคุยกับผู้ชมของเขาในภาษาที่สามารถเข้าใจได้ว่าผู้ฟังผู้อ่านผู้ชมคุ้นเคยกับระบบสัญญาณ (สัญลักษณ์) ทั่วไปอยู่แล้วหรือพร้อมที่จะเข้าใจ (ในขั้นตอนแรกยอมรับโดยไม่ต้องอธิบายอะไรให้ตัวเองฟัง และอื่นๆ) ระบบนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนที่พยายามเติมเต็มชีวิตด้วยความคิดสร้างสรรค์มักจะถูกบังคับให้แปลความคิด ความรู้สึก และอารมณ์เป็นภาษาอื่น ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง การแปล การถ่ายโอน การสลับมักไม่เกิดขึ้นจริง มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นเรื่องของหลักสูตร ผู้สร้างไม่รู้สึกถึงความยากลำบากใดๆ

แต่อาจมีอีกสถานการณ์หนึ่ง: ผู้สร้างเข้าใจอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่เขาต้องการจะพูด แต่การเปลี่ยนจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษานั้นเจ็บปวดและเจ็บปวดด้วยซ้ำ ทุกคำ ทุกเสียง ทุกส่วนของงานเป็นเรื่องยาก กระบวนการนี้เทียบได้กับ กระบวนการแปลจากภาษาแม่เป็นภาษาต่างประเทศหรือจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษาแม่ และในกรณีที่ยากที่สุดจากภาษาต่างประเทศหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่ง (เมื่อผู้แปลรู้ทั้งสองภาษาขั้นต่ำ) และถ้าคุณไม่ใช้สองภาษา แต่มีสามภาษาขึ้นไปและพยายามแปลที่เป็นไปได้ทั้งหมด งานก็จะซับซ้อนมากขึ้น

ในทางกลับกัน ฝ่ายรับ (เด็กในบทเรียน นักเรียนในการบรรยาย นักอ่าน ผู้ฟัง ผู้ชม...) ก็พบว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งนักแปล และบางทีในเวลาต่อมาใน ตำแหน่งของรีพีทเตอร์

และสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก: ผู้สร้างผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ที่เดินไปด้านหนึ่งและผู้รับต้องก้าวไปอีกด้านด้วยความยากลำบากมหาศาล อย่างดีที่สุด พวกเขาก็เคลื่อนเข้าหากัน ในรูปแบบอื่น พวกมันเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม หรือตัวหนึ่งพยายามไล่ตามตัวที่สองอยู่ตลอดเวลา (และตัวเลือกอีกครั้ง: ตัวแรกให้โอกาสในการไล่ตาม ส่วนตัวที่สองเคลื่อนที่เร็วมากและตามทัน) ในสถานการณ์เช่นนี้ระบบสัญลักษณ์ที่ได้รับการพัฒนาสามารถช่วยได้ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะมีความหมายที่ชัดเจน

Y. Lotman เขียนว่า: “สัญลักษณ์ทำหน้าที่เป็นโปรแกรมย่อของกระบวนการสร้างสรรค์ นี่คืออุปกรณ์เข้ารหัสเชิงลึก ซึ่งเป็น "ยีนข้อความ" ชนิดหนึ่ง

สัญลักษณ์คือกุญแจที่ใช้เปิดประตูอันล้ำค่า มันคุ้มค่าที่จะถอดรหัสสัญลักษณ์คำ สัญลักษณ์เสียง สัญลักษณ์รูปวาด แล้วเราจะเข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง (น่าแปลกที่สัญลักษณ์นี้อาจจะถอดรหัสแตกต่างกันสำหรับแต่ละคน)

ข้อความต่อไปนี้โดย Yu. M. Lotman ก็เป็นที่สนใจเช่นกัน: “การแสดงออกของสาระสำคัญบางอย่างโดยใช้ภาษาอื่นเป็นพื้นฐานสำหรับการเปิดเผยลักษณะของสาระสำคัญนี้”

ตัวอย่างเช่น Eric Berne ในหนังสือ “Games People Play. คนที่เล่นเกม” พยายามอธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจถึงธรรมชาติของทฤษฎีสถานการณ์ทางจิตวิเคราะห์ให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างชัดเจน โดยใช้ชื่อเทพนิยายเป็นชื่อที่เป็นสัญลักษณ์ของสถานการณ์ชีวิตบางเหตุการณ์ เช่น “หนูน้อยหมวกแดง” “เจ้าหญิงนิทรา” จึงลากมาเป็น สัญลักษณ์ในระบบพิกัดที่แตกต่างกัน อธิบายเอนทิตีหนึ่งผ่านอีกเอนทิตีหนึ่ง

ในความเป็นจริง งานด้านการสอนทุกอย่าง (เช่นเดียวกับปรัชญา วรรณกรรม ฯลฯ) ความเข้าใจและความเข้าใจนั้นไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน เนื่องจากทุกคนที่ตัดสินใจที่จะเข้าใจงานนั้นอาจจะพูดด้วยคำพูดของ Yu Lotman: “อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวกัน สัญลักษณ์เริ่มต้นสามารถเผยออกมาเป็นพล็อตต่างๆ ได้ และกระบวนการของการแฉนั้นไม่สามารถย้อนกลับได้และคาดเดาไม่ได้ แสดงให้เห็นว่ากระบวนการสร้างสรรค์นั้นมีลักษณะไม่สมดุล”

หลักการของความไม่สมมาตร

สาระสำคัญของหลักการของความไม่สมดุลของกระบวนการสร้างสรรค์คืออะไร?

ที่นี่เราเน้นประเด็นต่อไปนี้:

ความคิดสร้างสรรค์ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับผลลัพธ์ที่ได้รับ (ด้วยเหตุผลหลายประการ: ประการแรก ผู้สร้างเปลี่ยนแปลงในแนวทางของกิจกรรมสร้างสรรค์ ดังนั้น ประการที่สอง ความคิดก็ประสบการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน และประการที่สาม วัสดุเอง การเคลื่อนไหวภายในของมันมีอิทธิพลต่อ ผู้สร้างซึ่งเป็นแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงแผนการดำเนินการทั้งหมด)

นิยายไม่ใช่การหลอกลวง

ความคิดยังไม่ใช่ประเด็น

ให้ฉันเขียนนิยายให้จบเถอะ

จนใบสุดท้าย..

กระบวนการสร้างสรรค์ความหลงใหลอันเป็นเอกลักษณ์

บรรทัดเหล่านี้โดย Bulat Okudzhava แสดงให้เห็นสิ่งที่เขียนไว้ข้างต้นเป็นอย่างดี

จำนวนความคิดของผู้เขียนและการนำไปปฏิบัติมีขนาดไม่เท่ากัน แม้ว่าในบางกรณี ความคิดของบุคคลหนึ่งจะถูกรับและพัฒนาโดยผู้อื่นก็ตาม นี่เป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างธรรมดาทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะ ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีการพัฒนาประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของ L. S. Vygotsky พบว่ามีความต่อเนื่องในทฤษฎีการศึกษาเชิงพัฒนาการ ทฤษฎีการสนทนาของวัฒนธรรมโดย M. M. Bakhtin ในระบบการศึกษาการสนทนาในโรงเรียนการสนทนาของวัฒนธรรม A. S. Pushkin นำเสนอโครงเรื่อง "Dead Souls" และ "The Government Inspector" แก่ N. V. Gogol ผู้ซึ่งสร้างผลงานวรรณกรรมชิ้นเอกจากโครงเรื่องเหล่านี้

จากข้อเท็จจริงที่ว่ากระบวนการ "ปรับใช้นั้นไม่สามารถย้อนกลับได้และคาดเดาไม่ได้" กระบวนการสร้างสรรค์ (แม้แต่การแสดงออกที่เล็กที่สุด) ซึ่งได้เริ่มเคลื่อนไหว จะต้องได้รับการรับรู้ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ปกป้องและรักษา

ความไม่สมดุลยังแสดงให้เห็นในความจริงที่ว่าคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งเชื่อว่าเขากำลังทำสิ่งที่สำคัญและมีประโยชน์ได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพและความเข้าใจมากกว่าเด็ก แม้ว่าจะมีความสุดโต่งอีกประการหนึ่ง: แม้ว่าเด็กจะยังเล็ก แต่ผลงานของเขามีมูลค่าสูง แต่ทันทีที่เขาโตขึ้น ทุกคนก็ลืมเกี่ยวกับความสำคัญและความจำเป็นของแม้แต่การแสดงความคิดสร้างสรรค์ที่สำคัญที่สุด

แม้ว่าถ้าเราไม่ลืมคำพูดของ Y. Lotman ที่ว่า "กระบวนการที่เปิดเผยนั้นไม่สามารถย้อนกลับและคาดเดาไม่ได้" เราก็จะต้องปฏิบัติต่อการแสดงความคิดสร้างสรรค์ของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ด้วยความเคารพอย่างที่สุด ปกป้องและทะนุถนอมพวกเขา

การสำแดงความไม่สมดุลของกระบวนการสร้างสรรค์อีกประการหนึ่งก็คือในหลายกรณีสิ่งที่สร้างขึ้นนั้นถูกมองว่ามีคุณค่าไม่ใช่โดยผู้สร้างเอง แต่โดยผู้ที่อยู่รอบตัวเขาหรือแม้แต่ผู้ที่ติดตามเขา ประวัติศาสตร์รู้ตัวอย่างมากมายเช่นนี้

สิ่งที่ตรงกันข้ามอาจเป็นจริงเช่นกัน ยกเว้นตัวผู้สร้างเอง ไม่มีใครเข้าใจถึงความสำคัญและคุณค่าของสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น

ตัวอย่างเช่น:

“โรงเรียนพีทาโกรัสถูกเยาะเย้ยเพราะมองว่าโลกเป็นเพียงฝุ่นผงที่เคลื่อนไหวในจักรวาล แม้แต่อัจฉริยะเช่นเพลโต อาร์คิมิดีส และปโตเลมีก็ไม่สามารถแยกแยะสิ่งนี้ได้ หลังประกาศอย่างเปิดเผยถึงความคิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของโลกว่าเป็นเรื่องไร้สาระและพูดพล่อยๆ

คณะแพทย์ของซอร์บอนน์เยาะเย้ยฮาร์วีย์ผู้ค้นพบการไหลเวียนโลหิต

ราชสมาคมแห่งอังกฤษปฏิเสธการทดลองของจูล" -

หลักการเจรจา

เมื่อกลับมาที่ Yu. Lotman อีกครั้ง เราอ่านได้ว่า "การใช้คำศัพท์ของ I. Prigogine ทำให้เราสามารถกำหนดช่วงเวลาแห่งแรงบันดาลใจที่สร้างสรรค์ได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่สมดุลอย่างมาก ซึ่งไม่รวมความสามารถในการคาดเดาการพัฒนาที่ชัดเจน"

ในแต่ละสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันภายใต้การวิเคราะห์ มีหลายชั้นที่ต้องให้ความสนใจ:

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชั้นแรกคือ Y. Lotman เอง ความคิด มุมมอง ความคิดของเขา - ทุกสิ่งที่เป็นพื้นฐานของงานของเขา

ชั้นที่สองคือ I. Prigogine ซึ่ง Y. Lotman อ้างถึง;

ชั้นที่สามคือชั้นที่ I. Prigogine อ้างถึง รวมถึง Whitehead, Einstein, Tagore, Bergson และอื่นๆ อีกมากมาย

ชั้นที่สี่คือเรานั่นคือผู้ที่ตระหนักถึงสิ่งที่ผู้เขียนและผู้เขียนร่วมนำเสนอ

ชั้นที่ห้าคือเรานำเสนอสิ่งที่เขียนโดย Y. Lotman, I. Prigogine แก่ผู้อื่น;

ชั้นที่หกคือคนที่เราจะถ่ายทอดสิ่งที่ Yu Lotman พูดให้

ความคิดชั้นที่เจ็ดของ Y. Lotman ซึ่งเราเปลี่ยนแปลงเริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลกโดยไม่มีการอ้างอิงถึงผู้เขียน (กลายเป็นทรัพย์สินส่วนรวม)

เราสามารถดำเนินการต่อได้ แต่สิ่งที่แสดงไว้ข้างต้นมีแนวโน้มเพียงพอที่จะเห็นเส้นทางการเคลื่อนไหวของความคิด เส้นทางของการสนทนา ซึ่งแทบทุกคนก้าวไป มุ่งมั่นที่จะแสดงออกในกิจกรรมสร้างสรรค์

หลักการสะท้อนกลับ

“ปัญหาทางปรัชญาจะเป็นเช่นนั้นหากปัญหาเหล่านั้นอยู่ภายใต้รังสีของปัญหาเดียวที่มีความหมายสูงสุด ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร? จักรวาลมีไว้เพื่ออะไร? “ฉัน” คืออะไร และประสบการณ์ของฉันมีไว้เพื่ออะไร? และคำถามเหล่านี้ถูกถามอย่างแม่นยำเพราะในจักรวาลนี้มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น แต่กำลังถูกสร้างขึ้น และโลกยังไม่สมบูรณ์ ไม่พร้อม” คำพูดของ M.K. Mamardashvili พูดได้ดีที่สุดเกี่ยวกับธรรมชาติของการสะท้อนกลับของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตั้งคำถาม

หากเราพูดถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างสรรค์ ในกรณีนี้ การสะท้อนกลับจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า เนื่องจากกระบวนการนี้อยู่ในแต่ละบุคคล กรณีเดียว มีเอกลักษณ์และเลียนแบบไม่ได้ (ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ ผู้ได้รับแรงบันดาลใจ การค้นหานักเขียนหรือกิจกรรมสร้างสรรค์ของเด็กในพื้นที่เกม) จะมาพร้อมกับการออกแบบที่สะท้อนเสมอ

การสะท้อนกลับเป็นลำดับของขั้นตอนการสร้างสรรค์ (โดยปกติจะวิกฤติ) ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีส่วนช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากกิจกรรมสร้างสรรค์

เราเข้าใจการสะท้อนกลับในความคิดสร้างสรรค์ในฐานะชุดของการหยุดชั่วคราวอย่างสร้างสรรค์ ในระหว่างที่ผู้เขียนเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพของงานที่ทำเสร็จ รวมถึงการเคลื่อนไปข้างหน้าในทิศทางที่กำหนดหรือการปรับเปลี่ยนแผน (หากจำเป็น)

เอ็ม.เค. Mamardashvili ในงานของเขา“ ฉันเข้าใจปรัชญาได้อย่างไร” เขียนว่า:“ ส่วนใหญ่แล้วประสบการณ์จะมาพร้อมกับมุมมองที่แยกจากกันของโลก: โลกอย่างที่เคยเป็นมาผลักคุณออกจากตัวเองในช่วงเวลาแห่งประสบการณ์ทำให้คุณแปลกแยกและ จู่ๆ คุณก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างอย่างชัดเจน จงตระหนักรู้ นี่คือความเป็นไปได้ที่แท้จริงและมีความหมายของโลกนี้ แต่ในวิสัยทัศน์ของความเป็นไปได้นี้เองที่ทำให้คุณกลายเป็นหินและแข็งตัว ในสถานะนี้สามารถเปิดเผยให้คุณได้มากมาย แต่เพื่อให้การค้นพบนี้เกิดขึ้น คุณไม่เพียงแต่ต้องหยุด แต่ต้องอยู่ภายใต้แสงสว่างหรือในขอบฟ้าของคำถาม: ทำไมคุณถึงประทับใจกับสิ่งนี้มาก? เช่น ทำไมฉันถึงหงุดหงิด? หรือในทางกลับกัน: ทำไมฉันถึงมีความสุข? จมอยู่กับความสุขหรือความทุกข์ ในสภาวะแห่งความสุขหรือความทุกข์ทรมานนี้ โอกาสของเราถูกซ่อนอยู่: ที่จะเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง เรามาพูดครึ่งทางกันเถอะ”

การหยุดชั่วคราวอย่างสร้างสรรค์เพื่อไตร่ตรอง (ซึ่งอาจค่อนข้างยาว และกว้างขวางอย่างน่าประหลาดใจ และแม้แต่ในทันที) เป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณหยุด ฟังตัวเอง ฟังโลกรอบตัวคุณ ไปจนถึงความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงในกระแสความคิด ซึ่งในทางกลับกันจะเปลี่ยนแปลง (และค่อนข้างสำคัญ) คุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์

เราแยกแยะประเภทการไตร่ตรองต่อไปนี้ในกระบวนการสร้างสรรค์: คำพังเพย, การตั้งคำถาม, การเชื่อมโยง, การสรุป

การสะท้อนคำพังเพยรวมถึง:

การเลือกคำพังเพยที่เน้น (เน้น, เน้น) ความสำคัญของสิ่งที่ผู้เขียนพูด;

การใช้คำพังเพยเป็น epigraph (และดังนั้นการกำหนดบทบาทพิเศษในการเปิดให้กับข้อความนี้บทบาทของสัญลักษณ์ทางวาจา)

แสดงความแตกต่างของความหมายของคำ การเล่นสำนวนในกรณีที่มีการใช้คำพังเพยสองหรือสามคำซึ่งตามความประสงค์ของผู้เขียนได้กลายเป็นเพื่อนบ้านที่มีความหมาย

คำพังเพยที่เลือกสรรซึ่งนำไปสู่การเกิดการอภิปราย (ระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน; ผู้เขียนกับคู่สนทนาที่หยอกล้อ; ผู้อ่านและคู่สนทนาที่ล้อเล่น; ผู้เขียน, ผู้อ่านและคู่สนทนาที่ล้อเล่น; ผู้เขียน, ผู้อ่าน, คู่สนทนาที่หยอกล้อและคู่ต่อสู้ที่ยังไม่รู้ว่าเขาจะถูกรวมไว้ในการสนทนาในไม่ช้า .)

การไตร่ตรองคำถามส่งเสริม:

การเลือกคำถามคุณภาพสูงที่ผู้เขียนถามผู้อ่านและผู้เขียนร่วม

การกำหนดช่วงของคำถามที่ผู้เขียนถามตัวเองเกี่ยวกับอนาคต (รวมถึงคำถามวาทศิลป์ซึ่งอาจยังไม่ต้องการคำตอบในวันนี้)

ถามคำถามผู้อ่านที่จ่าหน้าถึงตัวเอง

การค้นหาโซนของการพัฒนาที่ใกล้เคียงโดยทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน (เนื้อหาเฉพาะที่ต้องเข้าใจ ยอมรับ ดำเนินการ แบ่งปันกับความคิดอื่น ๆ การค้นพบ ข้อมูลเชิงลึก การเหลือบของความคิด; เช่นเดียวกับการไร้ความสามารถและ ความเข้าใจผิดและความเข้าใจผิดความปรารถนาที่จะปรัชญาและความประหลาดใจอันน่ายินดี)

การสะท้อนกลับแบบเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับ:

การใช้สิ่งที่สดใสคาดไม่ถึงและน่าประหลาดใจไม่เพียง แต่คู่สนทนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้เขียนเองด้วยการเชื่อมโยงที่ช่วยให้รู้สึกไม่เพียง แต่ความลึกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลิ่นรสชาติกลิ่นของความคิดสร้างสรรค์และการนำไปปฏิบัติด้วย

การเกิดขึ้นของความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและพิเศษระหว่างสิ่งที่สร้างขึ้นในขณะนี้กับสิ่งที่มีอยู่แล้วก่อนหน้านี้

การปรากฏตัวของสัญลักษณ์เชื่อมโยงซึ่งเป็นกุญแจสำคัญและเปิดกว้างสำหรับกระบวนการสร้างสรรค์

การมีอยู่ของพื้นที่หลังการสะท้อนแบบเปิดที่เชื่อมโยงกัน

การไตร่ตรองโดยสรุปช่วย:

แยกแยะระหว่างสิ่งที่สำคัญกว่าและสิ่งที่สำคัญน้อยกว่าในขั้นตอนที่กำหนดของกระบวนการสร้างสรรค์

การกำหนดแผนการสร้างสรรค์สำหรับอนาคต

การตระหนักรู้ในตนเองในฐานะนักปรัชญา (หรืออย่างน้อยก็เริ่มต้นเส้นทางแห่งปรัชญา)

เมื่อหันไปหา M.K. Mamardashvili อีกครั้งเราอ่านว่า: “ปรัชญาคือจิตสำนึกสาธารณะซึ่งไม่สามารถแสดงออกมาดัง ๆ ได้ นักปรัชญาไม่สามารถเป็นผู้ที่ไม่ใช่นักปรัชญาได้ เว้นแต่แน่นอนว่าเขาจะตกอยู่ในความคิดโดยตรงที่หลุดออกมาจากปมที่ทำให้คุณหยุด นี่คือโชคชะตา!” -

หลักการของการเปิดกว้าง

กระบวนการสร้างสรรค์โดยธรรมชาตินั้นเป็นพื้นที่เปิดโล่งสำหรับการค้นหา การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ และการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ในกระบวนการสร้างสรรค์นั้น ไม่มีอะไรที่ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น ไม่สำคัญ เป็นรอง หรือเพิ่มเติม

A. Akhmatova เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างน่าอัศจรรย์ในบทกวี "Creativity" ของเธอ:

ถ้าเพียงแต่คุณจะรู้ว่าขยะประเภทไหน

บทกวีเติบโตอย่างไร้ความละอาย

เหมือนดอกแดนดิไลออนสีเหลืองข้างรั้ว

เช่นเดียวกับหญ้าเจ้าชู้และควินัว...

การเปิดกว้างถือว่า:

การปรากฏตัวของตัวเลือกความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวในกระบวนการของกิจกรรมสร้างสรรค์ในขั้นตอนใด ๆ ของเส้นทาง (การเปลี่ยนแนวกลยุทธ์หรือยุทธวิธีลำดับของการกระทำการเปลี่ยนจากองค์ประกอบหนึ่งไปอีกองค์ประกอบหนึ่ง การเลือกคู่สนทนา ตำแหน่งของตัวเองใน บทสนทนาที่สร้างสรรค์ ฯลฯ );

การเคลื่อนไหวของความคิด ซึ่งอาจจะเริ่มต้นขึ้นก่อนที่การออกแบบโครงการสร้างสรรค์จะกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตาม (สคริปต์ หนังสือ บทเพลง บทเรียน การวิจัยวิทยานิพนธ์...);

การพัฒนาเกิดขึ้นในกระบวนการแห่งความเข้าใจ การสร้าง การเปลี่ยนแปลง การคลี่คลายจะดำเนินต่อไปแม้หลังจากดำเนินการตามแผนแล้ว ก็ถึงจุดตรรกะแล้ว

ในกระบวนการสร้างสรรค์มักมีบางสิ่งที่กลายเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นจริง ไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่ได้พูด และถูกเข้าใจผิดอยู่เสมอ เนื้อหานี้สามารถถูกวางไว้ชั่วคราวในคลังแห่งความทรงจำของเราในธนาคารสำรองทางปัญญาซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งจะมีประโยชน์ในโครงการสร้างสรรค์อื่น ๆ คราวนี้ในคุณภาพใหม่: สิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงอาจเกิดขึ้นได้จริง ; สิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับก็จะเปลี่ยนแปลงไปในเชิงคุณภาพ ในที่สุดคนที่ไม่ได้พูดก็ถูกพูดออกมา สิ่งที่เข้าใจผิดก็จะชัดเจนและเข้าใจได้ แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่ยังไม่ตระหนัก ใหม่ที่ไม่ยอมรับ ไม่พูดใหม่ ความเข้าใจผิดใหม่ ๆ จะปรากฏขึ้น... และกระบวนการนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องจากความคิดสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมที่ไม่มีเวลา ไม่มีความหมาย ไม่มีอายุ ไม่มีชาติ ไม่มีขอบเขตทางวิชาชีพ .

การปรากฏตัวขององค์ประกอบทางอารมณ์เนื่องจากกระบวนการสร้างสรรค์ในฐานะระบบเปิดสันนิษฐานว่ามีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงไม่เพียง แต่ความคิดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรู้สึกและอารมณ์ด้วย และยังช่วยให้เกิดความรู้สึกใหม่และอารมณ์ใหม่ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นสัมพันธ์กับผู้ที่ค่อย ๆ มีส่วนร่วมในกระบวนการนี้

การตระหนักถึงความไม่มีที่สิ้นสุดของกระบวนการ การเปลี่ยนแปลงร่วมกันของส่วนต่างๆ ของกระบวนการไปสู่กันและกัน การเพิ่มคุณค่าซึ่งกันและกัน

บุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างสรรค์ (หรือดีกว่านั้นคือเกี่ยวข้องกับมันเอง) เปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพอยู่ตลอดเวลาซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นที่อยู่อาศัยรอบตัวเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากมีบุคคลดังกล่าวหลายรายอยู่ใกล้ ๆ การเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตจะเกิดขึ้นเร็วขึ้นหลายเท่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบุคคลดังกล่าวกลายเป็นคนส่วนใหญ่!

หมายเหตุ

1. Gumilyov L.N. ชาติพันธุ์และชีวมณฑลของโลก // ปรัชญาสมัยใหม่: พจนานุกรมและผู้อ่าน Rostov ไม่มีข้อมูล: Phoenix, 1996. หน้า 380.

2. อ้างแล้ว. ป.381.

4. Prigogine I., Stengers I. สั่งซื้อจากความสับสนวุ่นวาย: บทสนทนาใหม่ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ: ทรานส์ จากอังกฤษ / ทั้งหมด เอ็ด V. I. Arshinov, Yu. L. Klimontovich และ Yu. V. Sachkov อ.: ความก้าวหน้า พ.ศ. 2529 หน้า 386

5. Lotman Yu. M. โลกแห่งการคิด มนุษย์ส่งข้อความถึงประวัติศาสตร์กึ่งโลก อ.: ภาษาของวัฒนธรรมรัสเซีย, 2542 หน้า 145

6. อ้างแล้ว ป.169.

7. อ้างแล้ว ป.145.

8. Okudzhava B. Sh. คอลเลกชันบทกวี อ.: AST: ม้าลาย, 2550 หน้า 134.

9. Tsiolkovsky K.E. อัจฉริยะในหมู่ผู้คน ม., 1992.

10. กฤษฎีกา Lotman Yu. M. ปฏิบัติการ ป.146.

11. Mamardashvili M.K. ฉันเข้าใจปรัชญาได้อย่างไร // ปรัชญาสมัยใหม่: พจนานุกรมและผู้อ่าน Rostov ไม่มี/D: Phoenix, 1996. หน้า 278.

12. อ้างแล้ว ป.275.

13. อ้างแล้ว ป.276.

14. Akhmatova A. A. บทกวี / คอมพ์ และการเข้า ศิลปะ. เอ็น. บานนิโควา. อ.: สฟ. รัสเซีย. 2520 หน้า 364.

โพสต์บน Allbest.ru

...

เอกสารที่คล้ายกัน

ความคิดสร้างสรรค์เป็นปรากฏการณ์พื้นฐานในทุกด้านของกิจกรรมของมนุษย์ กิจกรรมและกระบวนการสร้างสรรค์ ทีมออกแบบท่าเต้นและข้อมูลเฉพาะ หลักการสอนทั่วไปของการสอน การใช้แนวทางสร้างสรรค์ในการทำงานของทีม

งานหลักสูตร เพิ่มเมื่อ 29/09/2013


แนวคิดของวัฒนธรรมการมองเห็น ส่งข้อมูลผ่านการจ้องมองและการแสดงออกทางสีหน้า สาระสำคัญของกระบวนการรับรู้ทางสายตา กระบวนการสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาเมื่อสร้างโครงการ ตัวอย่างวิธีการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ทางจิตวิทยา

การนำเสนอเพิ่มเมื่อ 20/05/2015


การสื่อสารเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมของชีวิตมนุษย์ การค้นพบและความเข้าใจ ความสามัคคี และความหลากหลายของวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณ การมีปฏิสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ กระบวนการพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์และสังคมของมนุษย์ ทฤษฎีชีวิตประจำวัน

บทคัดย่อเพิ่มเมื่อ 23/01/2558


การออกแบบเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ของการออกแบบทางศิลปะและการสร้างคุณสมบัติด้านสุนทรียศาสตร์ของวัตถุโดยรอบ คำจำกัดความของแนวคิดการออกแบบ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ และประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรม กราฟิก หนังสือ ภูมิทัศน์ การออกแบบพฤกษศาสตร์ การแต่งหน้า แฟชั่น

การนำเสนอเพิ่มเมื่อวันที่ 10/01/2017


เส้นทางสร้างสรรค์ของ K.F. โบเกฟสกี้. การสร้างสรรค์ภาพวาดที่กล้าหาญและโรแมนติกซึ่งอุทิศให้กับชายฝั่งตะวันออกของแหลมไครเมียซึ่งเป็นประเทศในตำนานของซิมเมเรียเป็นหลัก ความสำคัญของบทเรียน A.I. Kuindzhi ในการสร้างและพัฒนาเส้นทางสร้างสรรค์ของ K.F. โบเกฟสกี้.

บทความเพิ่มเมื่อวันที่ 24/04/2018


การวิเคราะห์สาระสำคัญและคุณสมบัติสร้างสรรค์เฉพาะของ M. Vrubel โดยใช้ตัวอย่างผลงานเทพนิยายและมหากาพย์ในสภาวะของความแปรปรวนของงานศิลปะในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 19 - 20 ลักษณะเด่นของจิตรกรรมประวัติศาสตร์ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19

งานหลักสูตร เพิ่มเมื่อ 28/11/2010


เส้นทางชีวิตของ Kazimir Malevich ขั้นตอนหลักและทิศทางของการพัฒนางานของเขา ประวัติความเป็นมาของการสร้าง "จัตุรัสดำ" อันโด่งดัง Suprematism ของ Kazimir Malevich สาระสำคัญและคุณสมบัติที่โดดเด่นของวิธีการสร้างสรรค์นี้ข้อดีของมัน

งานหลักสูตรเพิ่มเมื่อ 06/08/2014


การศึกษาภาพวาดประวัติศาสตร์ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 และการรายงานข่าวเทพนิยายในผลงานของ V.M. Vasnetsov ผ่านการเปิดเผยคุณลักษณะของวิธีการสร้างสรรค์ของศิลปิน เส้นทางสร้างสรรค์ของศิลปินและจุดเปลี่ยนในความโปรดปรานของมหากาพย์และเทพนิยาย

งานหลักสูตร เพิ่มเมื่อ 28/11/2010


แนวคิด คุณลักษณะ หน้าที่ หลักการและประเภทของสโมสร ปัญหาและแนวโน้มการพัฒนา คุณสมบัติของการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์โดยรวมของเด็ก วิเคราะห์ประสบการณ์ต่างประเทศในการทำงานของชมรมวัยรุ่น โดยเฉพาะในประเทศสวีเดนและฝรั่งเศส

งานหลักสูตร เพิ่มเมื่อ 09/11/2010


กิจกรรมสร้างสรรค์ของมนุษย์ก่อนฤดูใบไม้ร่วง ผลที่ตามมาของการตกสู่บาปและของประทานอันสร้างสรรค์ในมนุษย์ ภาษาเป็นวิธีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม หอคอยแห่งบาเบล วัฒนธรรมคริสเตียน ประสบการณ์การอ่าน "The Master and Margarita" โลกทัศน์ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า

กระบวนการสร้างสรรค์(ภาษาอังกฤษ) ความคิดสร้างสรรค์กระบวนการ). คนที่เก่งๆ หลายคนรายงานว่าการค้นพบของพวกเขาเป็นผลมาจากวิธีแก้ปัญหา "ทางใดทางหนึ่ง" ที่ปรากฏในใจ และสิ่งที่พวกเขาต้องทำคือจดสิ่งที่พวกเขา "ได้ยิน" หรือ "เห็น" สถานการณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้นพร้อมกับการกำเนิดความคิดของตารางธาตุโดย D.I. Mendeleev และโดยเขา นักเคมี ก.เกคูเล สูตรวัฏจักรของวงแหวนเบนซีน ความลึกลับของการกระทำของ "การส่องสว่าง" มีความเกี่ยวข้องมานานแล้วกับการมีอยู่ของความคิดสร้างสรรค์ภายนอกซึ่งบางครั้งก็มาจากสวรรค์ แรงบันดาลใจ.

การใช้ข้อมูล วิปัสสนานักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง (เช่น G. Helmholtz และ A. Poincaré), Amer นักจิตวิทยา Graham Wallace (1926) พัฒนาโครงการ T.P. 4 ขั้นตอน ตามโครงการนี้ ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ผู้คนต้องผ่านขั้นตอนแรก
ขั้นตอนที่ 1การวิเคราะห์ปัญหาที่ใช้เวลานานและเข้มข้น การสะสมและการประมวลผลข้อมูล ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาอย่างมีสติ ตามกฎแล้วระยะนี้สิ้นสุดลงอย่างไร้ผลและบุคคลนั้นถอยกลับโดย "ลืม" เกี่ยวกับปัญหาเป็นเวลาหลายวันและหลายสัปดาห์ ช่วงนี้กำลังพัฒนา
2

เวทีฯลฯ - การสุก ( การฟักตัว). โดดเด่นด้วยการขาดความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาที่เห็นได้ชัดเจน แล้วตามมา.
3

เวที- ข้อมูลเชิงลึก ( ข้อมูลเชิงลึก), ซึ่งเขาติดตาม
ขั้นตอนที่ 4- ตรวจสอบความถูกต้องของการแก้ปัญหา ดูสิ่งนี้ด้วย การคิดอย่างมีประสิทธิผล(ขั้นตอน).

ในช่วงการเจริญเติบโต การทำงานที่กระตือรือร้นดูเหมือนจะมีความสำคัญ
จิตใต้สำนึก.
จากการสังเกตตนเองบุคคลซึ่งภายนอกลืมเกี่ยวกับงานนั้นครอบครองจิตสำนึกและความสนใจของเขากับสิ่งอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง งาน "สร้างสรรค์" ก็ผุดขึ้นมาในใจโดยธรรมชาติ และบ่อยครั้งกลับกลายเป็นว่าหากไม่ได้รับการแก้ไข อย่างน้อยความเข้าใจในปัญหาก็ก้าวหน้าไป ดังนั้น เราจึงรู้สึกได้ถึงกระบวนการตัดสินใจที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม
ข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญงานที่มีประสิทธิผลของจิตใต้สำนึกคือระยะที่ 1 - ความพยายามอย่างมีสติอย่างต่อเนื่องในการแก้ปัญหา

การวิเคราะห์วิปัสสนาแสดงให้เห็นว่ากระบวนการ "การหยั่งรู้" มักจะไม่ใช่แบบแฟลชครั้งเดียว แต่มีการกระจายไปตามกาลเวลา ด้วยกระบวนการตัดสินใจอย่างมีสติและไม่หยุดยั้ง องค์ประกอบของความเข้าใจและความก้าวหน้าในทิศทางที่ถูกต้องจึงเกิดขึ้น ดังนั้นสภาพของสิ่งที่เรียกว่า “ความศักดิ์สิทธิ์” มักเกิดจากการทำงานหนัก ความพยายามอย่างมีสติดูเหมือนจะกระตุ้นและ "หมุน" กลไกอันทรงพลัง แต่เป็นกลไกเฉื่อยของจิตไร้สำนึก ความคิดสร้างสรรค์. ความจริงอย่างเดียวกับที่บางครั้งทางแก้ก็เกิดในช่วงที่เหลือ ความเกียจคร้าน ในตอนเช้าหลังจากนั้น นอนหรือระหว่างอาหารเช้าพวกเขาพูดเพียงว่าช่วงเวลาเหล่านี้มักจะใช้เวลานานสำหรับบุคคล

ในการวิจัย การจัดกระบวนการทางจิตระหว่างซีกโลกมีข้อเสนอแนะว่ากลีบหน้าผากของซีกขวาและซีกซ้ายมีส่วนช่วยที่แตกต่างกันในการดำเนินการในแต่ละขั้นตอนของความคิดสร้างสรรค์ ขั้นตอนของการเจริญเติบโตและความเข้าใจตามสมมติฐานนี้เกี่ยวข้องกับการทำงานของกลีบหน้าผากของซีกขวา ซีกโลก ขั้นตอนของการสะสมข้อมูลเบื้องต้นและการตรวจสอบเชิงวิพากษ์ของผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ - ด้วยการทำงาน กลีบหน้าผากของซีกซ้าย (เด่น)

ความสามารถในการสร้างสรรค์ ( ความคิดสร้างสรรค์) ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมากกับความสามารถทางปัญญา แม้ว่าบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่นจะมีความสามารถสูงมากก็ตาม ไอคิว. จากมุมมอง ทฤษฎี เครือข่ายความหมาย, ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างกิจกรรมทางปัญญาและกิจกรรมสร้างสรรค์นั้นอยู่ที่การมุ่งเน้นที่การแก้ปัญหาประเภทต่างๆ: การทำความเข้าใจความหมายและสร้างความหมายใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมประเภทนี้ชัดเจนแม้ว่าจะมีตัวอย่างของการดำรงอยู่อย่างอิสระก็ตาม ความคิดสร้างสรรค์มักแสดงออกมาพร้อมกับ "การยับยั้ง" ทางปัญญาภายนอก แต่บ่อยครั้งที่มีความสามารถทางสติปัญญาที่ดีโดยไม่มีการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

หนึ่งในตัวเลือกสำหรับการตีความคำว่า "เข้าใจ" และ "สร้าง" อาจเป็นได้ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่อไป การใช้เหตุผล คำว่า "เข้าใจ" หมายถึงความสามารถในการติดตามความก้าวหน้าของการใช้เหตุผลของผู้อื่น เช่น ความสามารถของบุคคลในการสร้างการเชื่อมโยงใหม่ระหว่างคนรู้จักระหว่างการเรียนรู้ แนวคิดและแนวคิดใหม่ๆ เอง คำว่า "รูป" ในนี้ บริบทใช้ในความหมายว่า “แบบตามคำสั่ง” “บุคคลที่เข้าใจ” จะต้องติดตามผู้ถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
ภาษาและแนวความคิด เช่น ติดตามครู หนังสือ ฯลฯ เขาต้องมีสูตรที่แม่นยำสำหรับการกระทำทางจิตทีละขั้นตอน

“คนที่มีความคิดสร้างสรรค์” ตรงกันข้าม มีความสามารถในการสร้างแนวความคิดที่ไม่ได้ถูกกำหนดโดยสิ่งใดจากภายนอก ความสามารถในการสรุปผลที่ไม่คาดคิดสำหรับคนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้ติดตามโดยตรงจากที่ใดก็ได้และถือเป็นบางประเภท “การก้าวกระโดด” ของการคิด (มีสติหรือหมดสติ) ทำลายตรรกะมาตรฐานของการให้เหตุผลตามปกติ ในเรื่องนี้เราสังเกตว่าเป็นภูมิภาคที่มีโครงสร้างดี ความรู้มักจะแสดงโดยเครือข่ายความหมายซึ่งโหนดไม่ได้อยู่ใกล้กัน ค่อนข้างจะสร้างสิ่งเพ้อฝันจากมุมมอง โทโพโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่กะทัดรัด ดร. กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราสามารถสรุปได้ว่าหากระบบข้อเท็จจริงและจุดยืนทางทฤษฎีที่จัดตั้งขึ้นในที่สุดอยู่ในรูปแบบของส่วนที่กะทัดรัดของเครือข่าย แล้ว
หลังจากหลังจากดำเนินการสร้างสรรค์บางอย่างแล้ว โหนดความรู้ที่ไม่คาดคิด แปลก และระยะไกล (ในพื้นที่ดั้งเดิม) ก็รวมอยู่ในเครือข่ายนี้ ในแง่ของความเข้าใจกลไกของการสื่อสารทางเทคโนโลยีมีความคล้ายคลึงกันระหว่างโครงสร้างของเครือข่ายความหมายและโครงสร้างของชุดประสาทเทียม

เมื่อเปรียบเทียบการกระทำของ "รุ่น" และ "ความเข้าใจ" ความขัดแย้งบางอย่างก็เกิดขึ้น ลักษณะเฉพาะของ “บุคคลที่เข้าใจ” คือความสามารถในการซึมซับระบบความรู้บางอย่าง กล่าวคือ ก่อตัวขึ้นในตัวเอง
สำเนาความเชื่อมโยงระหว่างแนวคิดที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้โดย "คนที่มีความคิดสร้างสรรค์" งานคัดลอกส่วนหนึ่งของเครือข่ายความหมายนี้ไม่ใช่การกระทำทางกลล้วนๆ และต้องมีการดำเนินการเบื้องต้นที่ซับซ้อนหลายอย่างในการก่อตัว: แนวคิดเริ่มต้น รายการคุณลักษณะ (คุณสมบัติ) ของแนวคิดเหล่านี้ ระบบการจัดลำดับความสำคัญใหม่ระหว่างคุณลักษณะ ฯลฯ ดังนั้นความแตกต่างระหว่างความเข้าใจและความคิดสร้างสรรค์ก็คือความแตกต่างระหว่างต้นฉบับและสำเนา! อันที่จริง นี่คือความแตกต่างระหว่างการสร้างต้นฉบับ ซึ่งสำหรับผู้สังเกตการณ์ภายนอกดูเหมือนปาฏิหาริย์ กับการกระทำที่ต้องใช้มโนธรรม ใช้แรงงานเข้มข้น แต่ไม่มีการคัดลอกที่เป็นความลับใดๆ

ประสิทธิผลของเทคโนโลยีในแง่ของกลไกเครือข่ายความหมายอาจเกี่ยวข้องกับการรวมกันของปัจจัย (ความสามารถ) หลายประการ

1. ความสามารถในการค้นหาตัวเลือกมากมายสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างแนวคิดที่มีอยู่อย่างรวดเร็วและที่สำคัญที่สุดอย่างต่อเนื่อง (โหนดเครือข่าย) ควรคำนึงว่าในโมเดลนี้ แต่ละโหนดเครือข่ายคือชุดหรือรายการคุณลักษณะที่อธิบายแนวคิดที่กำหนด และการดำเนินการค้นหาแบบสมบูรณ์นั้น โดยทั่วไปแล้ว ต้องใช้เวลาและหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นอย่างหายนะ ในเรื่องนี้ทางออกของปัญหาการแจงนับนั้นเกี่ยวข้องกับการมีความสามารถที่กำหนดความเป็นไปได้ของการสร้างขั้นตอนการแจงนับแบบ "ถูกตัดทอน" ไม่สมบูรณ์และเลือกสรร ร่องรอยหลายประเภทมีความสำคัญในเรื่องนี้ ความสามารถ

2. ความสามารถในการสร้างรายการคุณลักษณะของทรัพย์สินที่สร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง (เสริมและเปลี่ยนแปลงได้) ปรากฏการณ์หรือแนวคิด แน่นอนว่ารายการแอตทริบิวต์และลำดับความสำคัญควรแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับงานและโดเมน ความสามารถนี้มีความสำคัญเนื่องจากลักษณะของปรากฏการณ์ที่กำลังศึกษาคือชุดของพารามิเตอร์เริ่มต้นที่ใช้ในการระบุชุดค่าผสม

3. ความสามารถในการสร้างระบบการจัดลำดับความสำคัญที่ประสบความสำเร็จท่ามกลางตัวเลือกการเชื่อมต่อที่เตรียมไว้สำหรับการแจงนับ โดยเฉพาะกลไกของกระบวนการนี้อาจจะเป็น เกี่ยวข้องกับการสร้างคู่ของคุณลักษณะที่รวมกันอย่างดี โดยที่คู่นั้นจะมีคุณลักษณะหนึ่งรายการจากแต่ละแนวคิดที่รวมอยู่ในความสัมพันธ์ ในเวลาเดียวกัน ระบบลำดับความสำคัญควรเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับปัญหาที่กำลังแก้ไข (สาขาวิชา)

4. ความสามารถในการสร้างแนวคิดใหม่ (โหนด) ขั้นตอนนี้ถือได้ว่าเป็นกระบวนการแบบวนซ้ำ (วนซ้ำ) ในการสร้างวิธีการสร้างการให้เหตุผลแบบนิรนัยและ/หรืออุปนัยตามข้อเท็จจริงและแนวคิดที่มีอยู่ กล่าวคือ ขึ้นอยู่กับส่วนที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้ของเครือข่ายและการเชื่อมต่อระหว่างส่วนเหล่านั้น

ภายในกรอบของแบบจำลองดังกล่าว ทั้งความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านความคิดสร้างสรรค์และความแตกต่างในความสำเร็จเชิงสร้างสรรค์ระหว่างคนกลุ่มเดียวกันในสาขาวิชาที่แตกต่างกันมีความชัดเจน จริงอยู่ สมมติว่าบน k.-l. ในขั้นตอนของการให้เหตุผล บุคคลบางคนได้พัฒนาระบบการจัดลำดับความสำคัญ "ที่ประสบความสำเร็จ" สำหรับตัวเลือกสำหรับการแจกแจงคุณลักษณะ (หรือองค์ประกอบอื่น ๆ ของการให้เหตุผล) เป็นผลให้บุคคลนี้ในสถานการณ์เช่นนี้จะแสดงตนว่าเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่